นายกฯ สั่งเร่งช่วยเหลือประชาชนเร็วที่สุด เตรียมชง ครม. 14 ต.ค. ขออนุมัติงบฯ 6,169 ล้าน เยียวยาน้ำท่วมช่วง 15 พ.ค.-6 ต.ค. ครัวเรือนละ 9,000 บาท พร้อม 7 ข้อสั่งการรับมือฝนตก-น้ำทะเลหนุน
วันที่ 6 ตุลาคม 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลัง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 1/2568 ว่า การประชุมในวันนี้เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัย การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย การประเมินแนวโน้มสถานการณ์ และการหารือแนวทางการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการร่วมพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาให้ผู้ประสบภัยให้ดำเนินไปอย่างเป็นระบบ บูรณาการกับทุกภาคส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ
ในส่วนของแนวทางการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ที่ประชุมมีมติหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 เช่นเดียวกันกับปี 2567 ให้ความช่วยเหลือครัวเรือนละ 9,000 บาท ดังนี้
(1) กรณีที่อยู่อาศัยประจำอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม ดินถล่ม น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
(2) กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ติดต่อกันเกินกว่า 7 วัน
โดยการช่วยเหลือเยียวยาระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม - 6 ตุลาคม 2568 มีทั้งสิ้น 685,554 ครัวเรือน ครัวเรือนละ 9,000 เป็นเงิน 6,169.986 ล้านบาท ทั้งนี้ จะมีการเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 14 ตุลาคม 2568
นายสิริพงศ์ กล่าวต่อไป นายกรัฐมนตรียังได้มีข้อสั่งการด้วยว่า เนื่องจากปัจจุบันมีปริมาณน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างมาก และยังคงมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ที่สำคัญ ช่วงวันที่ 9-13 ตุลาคม 2568 จะมีน้ำทะเลหนุน และอาจมีฝนตกในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่งผลต่อการระบายน้ำในช่วงดังกล่าว จึงมีความจำเป็นในการบริหารจัดการน้ำ ดังนี้
...
1. ให้กรมชลประทาน คงการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาไว้ที่ไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)/วินาที
2. ลดการระบายน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และเขื่อนพระรามหก ลง 100 ลบ.ม./วินาที
3. ให้กรมชลประทาน เพิ่มการระบายน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ผ่านคลองชัยนาท-ป่าสัก
- เพิ่มการระบายน้ำที่ประตูระบายน้ำมโนรมย์ ให้เต็มศักยภาพที่ 210 ลูกบาศก์เมตร/วินาที
- ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการใช้เครื่องผลักดันน้ำเพิ่มการระบายน้ำ ประตูระบายน้ำ-ทางระบายน้ำ พระนารายณ์ผ่านคลอง 8-16 ผ่านคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต และคลองลาดกระบัง โดยกำหนดจุดติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำเสริมในบริเวณคอคอด
- ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมทุกสถานีสูบน้ำบริเวณปากคลอง และให้เร่งสูบออกอ่าวไทยให้เหมาะสมกับจังหวะน้ำทะเลลง
4. ระบายน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ผ่านแม่น้ำท่าจีน แบ่งเป็น
- ให้กรมชลประทาน เพิ่มการระบายน้ำผ่านคลองฝั่งตะวันออกแม่น้ำท่าจีน และใช้คลองย่อยเดิมรับน้ำจากทุ่งด้านบนระบายน้ำลงคลองภาษีเจริญเพื่อทำหน้าที่เป็นคลองลัดเสริมการระบายน้ำ
- ให้กรมชลประทาน เพิ่มการระบายน้ำผ่านคลองย่อยของแม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันตก เสริมการระบายน้ำลงอ่าวไทย
- ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการใช้เครื่องผลักดันน้ำเพิ่มการระบายน้ำ โดยกำหนดจุดติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำเสริมในบริเวณคอคอด
5. ให้สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร เพิ่มการระบายน้ำผ่านกรุงเทพมหานคร บางส่วนอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยลดปริมาณน้ำท่วมสะสมในทุ่งเจ้าพระยา และต้องไม่ส่งผลกระทบกับกรุงเทพมหานคร
6. เพิ่มการรับน้ำเข้าทุ่งฝั่งซ้าย คลองชัยนาท-ป่าสัก (รับน้ำได้อีก 70 ล้าน ลบ.ม.) และทุ่งรับน้ำท่าวุ้ง จ.ลพบุรี (รับน้ำได้อีก 22 ล้าน ลบ.ม.) มีศักยภาพการรับน้ำได้มากกว่าร้อยละ 80
7. บรรเทาปัญหาน้ำท่วมที่บางบาล ไปยังทุ่งบางกุ้ง จ.พระนครศรีอยุธยา (รับน้ำได้อีก 4.7 ล้าน ลบ.ม.)
“นายกฯ ยังกล่าวถึงการลงพื้นที่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี ขอให้เน้นการเยียวยาด้วยความรวดเร็วที่สุดในเวลาที่มี ส่วนการบริหารจัดการสถานการณ์ต้องคำนึงถึงสถานการณ์น้ำขัง น้ำหลาก ทั้งในส่วนของทรัพย์สิน ผลิตผลการเกษตร หรือโรคภัยต่างๆ ที่มากับน้ำ พร้อมให้เร่งรวบรวมช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยเร็ว”