“ชวลิต วิชยสุทธิ์” เผยหลังเยี่ยมอาการ “บิ๊กจิ๋ว - พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ป่วยหนักติดเตียง รักษาตัวอยู่ที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ วอนทุกฝ่ายยุติความขัดแย้ง เรื่องกระทบจิตใจ-ไม่เป็นประโยชน์
วันที่ 6 ตุลาคม 2568 นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีต สส. และอดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความบอกเล่าถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ในวัยชรากับอาการป่วยติดเตียง ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับ พล.อ.ชวลิต ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ซึ่งขณะนี้พักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ ตึกภูมิสิริมังคลานุสรณ์
นายชวลิต ระบุต่อไปว่า ตนเองไปเยี่ยม พล.อ.ชวลิต ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านป่วยติดเตียง เจาะคอ ฟอกไต ให้อาหารทางสายยาง อยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด กรณีมีข่าวในสื่อมวลชนถึงความขัดแย้งในครอบครัวของท่านซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ในฐานะลูกศิษย์ของ พล.อ.ชวลิต คนหนึ่ง ขอร้องทุกฝ่ายยุติความขัดแย้งที่จะมีการฟ้องร้องกันไปมา ขอให้เห็นแก่ผู้ป่วยซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในครอบครัว และได้ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองมามากถึงระดับสูงสุดในสายราชการ และระดับสูงสุดในสายการเมือง ทั้งนี้ พล.อ.ชวลิต ป่วยมาก ติดเตียงอยู่ พูดก็ไม่ได้ จึงขอความเป็นธรรมให้ท่านด้วยที่ไม่สามารถให้ข้อเท็จจริงใดๆ ได้ ถ้ายุติเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ก็จะขอบคุณยิ่ง
ส่วนกรณีมีนักวิจารณ์การเมืองให้ความเห็นผ่านรายการโทรทัศน์และสื่อโซเชียลพูดสรุปสั้นๆ ถึง พล.อ.ชวลิต ว่า เป็นนายกรัฐมนตรีที่ทำให้เศรษฐกิจพัง ที่เรียกว่าวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งนั้น ในฐานะเป็นคนร่วมสมัย และเคยอภิปรายในสภาฯ เพราะ พล.อ.ชวลิต อยู่นอกสภาฯ ไม่อาจทำความเข้าใจกับสังคมว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียทั้งหมด ท่านผู้สนใจประวัติศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ การเมือง ลองสืบค้นข้อมูลซึ่งสมัยนี้หาได้ไม่ยาก จะพบว่า พล.อ.ชวลิต ไม่ใช่ต้นเหตุของวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง แต่รัฐบาลของท่านเป็นรัฐบาลที่วิกฤติมาปะทุขึ้นในช่วงนั้นพอดี
...
สำหรับสาเหตุเชิงโครงสร้างโดยข้อเท็จจริงแล้วปัญหาได้สั่งสมมาก่อนรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ถึง 2 รัฐบาลที่ได้ดำเนินนโยบายการเงินและการคลังเสรี (Financial Liberalization) โดยเฉพาะโครงการ Bangkok International Banking Facility หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า BIBF โดยไม่มีระบบควบคุมเพียงพอ กล่าวโดยสรุป ต้นเหตุแท้จริงของวิกฤติต้มยำกุ้งมาจากการเปิดเสรีทางการเงินและการตรึงค่าเงินบาทที่สะสมมาหลายปี รัฐบาล พล.อ.ชวลิต จึงเป็นผู้มารับวิกฤติที่ตนไม่ได้เป็นผู้สร้าง โดยวิกฤติมาระเบิดในเวลานั้นพอดี
พล.อ.ชวลิต ในวัย 93 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านวิกฤตของประเทศมามากมาย ทั้งการรับราชการทหารจนได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในด้านงานการเมือง พล.อ.ชวลิต เป็นผู้บริหารสูงสุดคือนายกรัฐมนตรี เวลาการทำงาน ทั้งการรับราชการ และงานการเมือง ตนมั่นใจว่า พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ที่มั่นคงในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วยผู้หนึ่ง จนได้รับพระราชทานเหรียญรามาธิบดี กระทำพิธีดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
อีกทั้ง พล.อ.ชวลิต ได้ชื่อว่าเป็นนายทหารประชาธิปไตย แม้จะมีโอกาสที่จะได้ตำแหน่งทางการเมืองโดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง แต่ท่านยินดีลาออกจากราชการก่อนกำหนดถึง 5 ปี เพื่อมาเดินหาเสียงเลือกตั้งเหมือนนักการเมืองทั่วไป ครั้งรับราชการ พล.อ.ชวลิต มีผลงานสำคัญยิ่งในการนำนโยบายการเมืองนำการทหารเสนอ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 สามารถยุติความขัดแย้งในบ้านเมืองที่คนไทยรบราฆ่าฟันกันเองจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับทางราชการ เป็นระยะเวลาเกือบ 20 ปี ให้ยุติลงได้ ด้วยการให้อภัยต่อกัน ออกจากป่ามาร่วมพัฒนาชาติบ้านเมือง
นอกจากนั้นงานสำคัญยิ่งที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ ครั้ง พล.อ.ชวลิต ขณะดำรงตำแหน่งเพียงยศ พ.ท.ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เดินทางไปประเทศจีนเพื่อพบกับ นายเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำจีนในขณะนั้น เพื่อขอความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ความมั่นคงระหว่างประเทศ ผลการเจรจาเป็นผลสำเร็จ ทำให้เวียดนามซึ่งยกกำลังมาจ่อคอหอยไทยที่ภาคอีสานต้องถอนกำลังกลับไปป้องกันตนเองจากสงครามสั่งสอนจากจีน (สถานการณ์ขณะนั้นเวียดนามเป็นคอมมิวนิสต์สายรัสเซีย ปัจจุบันสถานการณ์พัฒนาไปตามเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป)
ก่อนทิ้งท้ายว่า “ในช่วงชีวิตของคนๆ หนึ่ง ย่อมมีประสบการณ์มากมาย ทั้งที่สำเร็จ และไม่สำเร็จ สิ่งไหนที่สำเร็จเป็นประโยชน์กับชาติบ้านเมือง เราคนรุ่นหลังก็ศึกษาดูเป็นแบบอย่าง สิ่งไหนที่ไม่สำเร็จ ก็ศึกษาดูเป็นบทเรียน ส่วนคนในครอบครัวควรตอบแทนบุญคุณท่าน สิ่งที่ดีที่สุด คือสามัคคีกัน หากกระทบจิตใจใคร ต้องขอประทานโทษ ด้วยเจตนาอยากจะให้ พล.อ.ชวลิต ซึ่งป่วยหนัก ไม่มีอะไรมากระทบกระเทือนจิตใจครับ”