“โสภณ” ชี้ รัฐบาลจัดการน้ำได้ หากเกิดเหตุประชาชนต้องได้รับแจ้งเตือนก่อน ลั่น ไม่ซ้ำรอยปี 54 แน่นอน ด้านโฆษกรัฐบาล ยัน “นายกฯ อนุทิน” ให้ความสำคัญน้ำท่วม ไม่ได้มองถูกตัดหน้า


วันที่ 6 ตุลาคม 2568 นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ ว่า ตอนนี้มีฝนตกลงมามากกว่าที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ไว้ เป็นเหตุให้เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ ต้องปล่อยระบายน้ำออกมาแล้วให้เขื่อนเจ้าพระยารองรับน้ำด้วย แต่เราบริหารจัดการน้ำทั้ง 3 เขื่อนได้สมดุลแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนปี 2554

ส่วนการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนโดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดกับชาวนา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้เร่งแก้ปัญหา เนื่องจากระเบียบเดิมชดเชยไม่ครอบคลุม เช่น กรณีนาข้าว ระเบียบเขียนไว้ว่าชดเชยกรณีเสียหายโดยสิ้นเชิง แต่บางกรณีที่ชาวนาหว่านเมล็ดข้าวไปแล้ว หรือดำนาข้าวไปแล้วเกิดน้ำท่วมจะนำเรื่องนี้เข้าหารือว่าจะชดเชยบางส่วนได้หรือไม่ เพราะชาวนาเขาลงทุนไปแล้ว ทั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาลนี้เพิ่งเข้ามาทำงาน แต่มีการขับเคลื่อนแก้ปัญหาน้ำท่วมมาโดยตลอดไม่มีวันหยุด และขอให้มั่นใจว่าการบริหารจัดการ ณ ขณะนี้เราเอาอยู่ ไม่เหมือนปี 2554 แน่นอน

เมื่อถามว่ากรุงเทพมหานครน้ำจะไม่ท่วมใช่หรือไม่ นายโสภณ ตอบว่า เอาเป็นว่าน้ำไม่เหมือนปี 2554 แน่นอน ณ วันนี้ยังไม่ท่วม เรามั่นใจว่าการบริหารจัดการเรารับมือได้ เราทราบดีว่าภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นภัยธรรมชาติที่บางทีไม่เคยเกิดมาก่อน ถ้าไม่มีสิ่งมหัศจรรย์ที่ตกลงมาแบบรับไม่ได้กรุงเทพฯ ก็จะไม่ท่วม แต่การรอระบายก็อาจจะมีบ้าง นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญการแจ้งเตือนประชาชนต้องเร็ว แม้น้ำจะท่วมแต่ประชาชนต้องรับรู้ก่อน ยืนยันด้วยการบริหารจัดการที่ดำเนินการอยู่ น้ำจะไม่ท่วมเหมือนปี 2554 แน่นอน

...

ทางด้าน นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) โจมตี นายอนุทิน ไม่ลงพื้นที่น้ำท่วม ว่า นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมตั้งแต่ก่อนแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2568 ลงพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา จ.อ่างทอง และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอื่น และในข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ข้อแรกคือเรื่องเกี่ยวกับน้ำท่วม แสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการแก้ปัญหา

ส่วนสาเหตุที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาแทนที่จะลงพื้นที่น้ำท่วมนั้น เนื่องจากแม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ เพิ่งมารับตำแหน่ง ดังนั้น การพบปะให้กำลังใจและความมั่นใจแก่ฝ่ายความมั่นคงว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนจึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีมติที่สำคัญคือจากที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เกี่ยวกับความมั่นคงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จึงไปสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

โฆษกรัฐบาล กล่าวต่อไปว่า แม้นายกรัฐมนตรีจะอยู่พื้นที่ชายแดนแต่ไม่ได้ปล่อยปละละเลย มอบหมายให้รัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็น นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดูแลสถานการณ์ทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ไปเดินเยี่ยมตอนน้ำลงแล้ว

ซึ่งวันนี้น้ำกำลังท่วมอยู่ การดูแลต้องดูแลทั้งระบบ ทั้งเรื่องการขนย้าย การอพยพ การตัดไฟ การดูแลผู้ป่วยติดเตียง โดยวันที่ 6 ตุลาคม 2568 มีรัฐมนตรีอีกหลายกระทรวง เช่น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดูสถานการณ์พื้นที่น้ำท่วมภาพรวม และช่วงบ่ายวันนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานประชุมศูนย์อำนวยการป้องกันภัยพิบัติ (คอภ.) ซึ่งเป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญมาก

นายสิริพงศ์ เผยต่อไปว่า เมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา ระหว่างปฏิบัติภารกิจหัวใจติดปีกที่ จ.อุดรธานี ช่วงที่รอแพทย์ผ่าตัดหัวใจ นายกรัฐมนตรียังได้แวะไปดูน้ำท่วมที่ จ.อุดรธานี แสดงออกให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของนายกรัฐมนตรี แต่แน่นอนว่าการนำเสนอภาพข่าวบางภาพ คน 2 คนอยู่คนละพื้นที่ คงเป็นไปได้ยากที่จะเห็นภาพของเขา เอานายกรัฐมนตรีของเรามาลงพื้นที่เดียวกัน แต่ยืนยันว่านายกรัฐมนตรีให้ความสนใจ ตั้งใจและให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการป้องกัน การอพยพ หรือการเยียวยาสถานการณ์น้ำท่วม

ผู้สื่อข่าวถามในช่วงท้าย มองว่าเป็นการถูกตัดหน้าหรือไม่ นายสิริพงศ์ ตอบว่า ไม่ได้มองว่าเป็นการถูกตัดหน้า ตนคิดว่าพื้นที่ใครๆ ใกล้ก็ไปก่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าไปก่อนแล้วทำดีกว่า.