“โรม” หวังรัฐบาลยึดผลประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง ปมทำประชามติยกเลิก MOU 2543-2544 ชี้ประชาชนต้องเข้าใจรายละเอียด หวั่นเป็นแผนพาไทยไปศาลโลก
วันที่ 6 ต.ค. 2568 นายรังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการให้ประชาชนทำประชามติว่าเห็นด้วยกับการยกเลิก MOU 2543-2544 หรือไม่ว่า ตอนนี้สภาฯ กำลังตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาข้อดีข้อเสียของการยกเลิก MOU 2543 และ 2544 โดยมีนายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทยเป็นประธานคณะกรรมาธิการ ตนเองคิดว่าคณะกรรมาธิการชุดนี้มีภารกิจที่สำคัญมาก
ต้องเผยข้อมูลให้ประชาชนทราบ
เมื่อเป็นแนวทางที่รัฐบาลใส่เข้าไปในการแถลงนโยบายว่าจะมีการทำประชามติ ซึ่งเราต้องหวังพึ่งความสมบูรณ์ของข้อมูลในคณะกรรมาธิการชุดนี้ เพราะกรรมาธิการต้องรวบรวมข้อมูลทั้งข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและมีอยู่ในปัจจุบัน บางฝั่งก็บอกว่ากัมพูชาไม่ปฏิบัติตาม MOU ละเมิด MOU กี่ครั้งจะต้องนำมาพิจารณา ตนเองไม่ได้อยู่ในคณะกรรมาธิการก็รออยู่เหมือนกันว่าผลการศึกษาจะออกมาเป็นอย่างไร
“การศึกษาก็ต้องมีการเผยแพร่ให้ประชาชน ความกังวลใจของผมก็มีอยู่ว่าจะศึกษากันอย่างไร และเผยแพร่อย่างไร ให้ทางฝ่ายกัมพูชาไม่รู้ข้อมูลที่ละเอียดอ่อน อาจจะต้องฝากท่านไชยชนกในฐานะประธาน และฝากท่านอนุทินในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่มีการเตรียมการเรื่องการทำประชามติว่าการที่ประชาชนจะไปทำประชามติ ผมอยากให้เป็นเรื่องของผลประโยชน์ของประเทศ ซึ่งต้องเอาข้อมูลมาว่ากัน” นายรังสิมันต์กล่าว
...
ห่วงความเสียหายหากข้อมูลไม่ชัด
นายรังสิมันต์ มองว่าเป็นเรื่องเทคนิคมาก ตนยังไม่มั่นใจเลยว่า สส. ในสภาจะเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ ดังนั้นการให้พี่น้องประชาชนตัดสินใจต้องคำนึงว่าประชาชนจะต้องเข้าถึงข้อมูลมากเพียงพอ ก่อนที่จะตัดสินใจไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายได้ โดยยอมรับว่าหากยกเลิก MOU จะทำให้ไทยไม่มีกรอบในการเจรจากับทางกัมพูชา เช่น GBC RBC และ JBC ถ้าเราไม่พูดถึง MOU ปี 2543 และ 2544 ที่ผ่านมาจุดยืนของประเทศไทยอย่างหนึ่งก็คือการพูดคุยแบบทวิภาคี
ระวังกัมพูชาพาไทยไปศาลโลก
นายรังสิมันต์ กล่าวด้วยว่า ถ้าไม่มี MOU 2543 หมายความว่ากลไกการพูดคุยแบบเป็นทางการที่เป็นทวิภาคีจะไม่มี แต่ถ้ารัฐบาลจะยกเลิกจริง ๆ รัฐบาลก็ควรที่จะไปคุย เพื่อให้ได้กรอบที่ดีกว่า ลองนึกภาพดูว่าเขาพระวิหารก็ต้องไปคุยกันอีก ในรายละเอียด ซึ่งต้องคุยในแบบทวิภาคี ท้ายสุดอาจจะกลับไปกรอบเดิม คือกรอบ MOU 2543 ที่ยกเลิกไปก็สูญเปล่า ที่ได้ใหม่ก็ไม่รู้จะดีกว่ากรอบเดิมหรือไม่ อาจจะไปเข้าทางกัมพูชาที่พาเราไปศาลโลกสำเร็จ เรื่องเหล่านี้ต้องคิดต้องคุย
ระวังบริษัทลงทุนในกัมพูชาฟ้อง
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า สำคัญกว่าเนื้อหาคือวิธีการ พอเราพูดถึงตรงนี้ตนก็เริ่มเป็นห่วงว่ากัมพูชาเข้าใจเทคนิควิธีการ หรือข้อมูลสำคัญบางอย่าง รวมถึงแนวทางสำคัญของฝ่ายไทย ซึ่งอาจจะทำให้ในระยะยาวไทยอาจเสียเปรียบได้ ดังนั้นต้องคิดให้รอบคอบ ตนอยากให้เรื่องนี้ตัดสินใจบนผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง ๆ ต้องเอาข้อมูลมากาง รวมทั้ง MOU 2544 ข้อมูลของบริษัทข้ามชาติที่เซ็นสัญญากันไปแล้ว ได้รับสัมปทานกันไปแล้ว หากไปทำเรื่องการวิจัยหรือสำรวจไปแล้วและไปยกเลิก บริษัทเหล่านี้เสียหายเขาจะฟ้องเราหรือไม่ เขาไม่ได้ฟ้องศาลไทย แต่ฟ้องอนุญาโตตุลาการขึ้นมา เราอาจเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้ ดังนั้นต้องคุยให้ละเอียดรอบคอบ