“ธนกร” มอบนโยบาย “ฝ่า-ฟัน-ดึง-ดัน” ยกอุตสาหกรรมไทย ชี้ต้องทำทันทีภายใน 4 เดือน แนะเลิกใช้คำว่าจีนเทา อาจกระทบกับจีนที่เป็นบ้านพี่เมืองน้อง


วันที่ 3 ตุลาคม 2568 นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มอบนโยบายแก่ข้าราชการและผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศวิสัยทัศน์ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้สอดรับกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมดิจิทัล และพลังงานสะอาด


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า นโยบายหลักขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย ภายใต้กรอบ “ฝ่า-ฟัน-ดึง-ดัน” ซึ่งต้องทำทันทีภายใน 4 เดือน ฝ่า คือรับมือปัญหาเร่งด่วนจากสงครามการค้าและมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) โดยเร่งช่วยเหลือ SME ที่ได้รับผลกระทบ เสริมสภาพคล่องด้วยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ปกป้องจากการทุ่มตลาด และยกระดับระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าแบบดิจิทัล (ROO Digital + Traceability) เพื่อให้แข่งขันได้อย่างโปร่งใสและยั่งยืน


ฟัน คือจัดระเบียบอุตสาหกรรมอย่างเด็ดขาด ด้วยการปราบปรามโรงงานเถื่อน การลักลอบนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน และการทิ้งกากอุตสาหกรรม พร้อมบังคับใช้กฎหมายเข้มงวด ควบคู่กับการยกระดับมาตรการสิ่งแวดล้อม


ดึง คือเดินหน้าดึงเม็ดเงินลงทุนด้วย 2 แนวทางหลัก คือ ขับเคลื่อน BCG และพลังงานสะอาด ยกระดับภาคการผลิตไทยสู่มาตรฐานสากล ลดคาร์บอน ลดต้นทุนพลังงาน และเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ผ่านมาตรการสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมคาร์บอนเป็นศูนย์ 2030 โครงการโซลาร์รูฟท็อป และตลาดคาร์บอนอุตสาหกรรม ควบคู่กับการสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ทันสมัยและโปร่งใส ด้วยการปรับปรุงกฎระเบียบ ลดขั้นตอน เอื้อต่อธุรกิจ ส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานและดิจิทัล และผลักดันกฎหมายสำคัญ เช่น พ.ร.บ. การจัดการกากอุตสาหกรรม และ พ.ร.บ. มอก. เพื่อสร้างระบบการผลิตที่รัดกุม ยั่งยืน และแข่งขันได้ในเวทีโลก

...


ดัน คือวางรากฐานสู่อุตสาหกรรมอนาคต สนับสนุน SMEs เข้าถึงเทคโนโลยีและพัฒนาทักษะแรงงาน ผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ดิจิทัล–AI–เซมิคอนดักเตอร์ และอาหารแห่งอนาคต–ชีวเศรษฐกิจ ควบคู่กับอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์อย่างการแพทย์ เทคโนโลยีสุขภาพ และปาล์มน้ำมัน


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวระหว่างมอบนโยบายด้วยว่า ไม่อยากให้ใช้คำว่าจีนเทา เนื่องจากส่วนตัวมองว่าจีนกับไทยเป็นบ้านพี่เมืองน้อง และธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็มีอยู่มากมาย โดยส่วนตัวขอเสนอให้ใช้คำว่า “นักธุรกิจ/นักลงทุนต่างชาติที่ไม่ดี” เพื่อไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์ระดับประเทศ