“ทนายเนวิน” อัด “จุลพงศ์ อยู่เกษ” สส.พรรคประชาชน ขาดความจริงใจ ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม อาจต้องดำเนินคดีใหม่


วันที่ 30 กันยายน 2568 นายชนินทร์ แก่นหิรัญ ทนายความของ นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอล บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความผิดหวังและตำหนิการกระทำของ นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ที่เกี่ยวเนื่องกับคดีหมิ่นประมาทต่อครอบครัวชิดชอบ ในประเด็นที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ อันเป็นเรื่องที่ประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจและติดตามมาโดยตลอด

ซึ่งข้อเท็จจริงตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.960/2568 และหมายเลขแดงที่ อ.1479/2568 ของศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ปรากฏชัดเจนว่า นายจุลพงศ์ ได้ยอมรับต่อศาลว่า ข้อมูลที่ตนได้นำไปอภิปรายและเผยแพร่ต่อสาธารณะเกี่ยวกับครอบครัวชิดชอบนั้น เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ไม่ครบถ้วน และทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของผู้เสียหาย ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยและบรรลุข้อตกลง โดยมีเงื่อนไขให้นายจุลพงศ์ต้องทำหนังสือขอโทษ เผยแพร่คำขอโทษผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่อเนื่อง 7 วัน และบริจาคเงินจำนวน 10,000 บาทให้แก่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ เมื่อจำเลยได้ปฏิบัติตามครบถ้วน ศาลจึงอนุญาตให้ถอนฟ้องและให้คดีสิ้นสุดลง

แต่สิ่งที่น่าเสียใจและน่าตำหนิอย่างยิ่งคือ หลังจากคดีสิ้นสุดไปแล้ว นายจุลพงศ์ กลับให้สัมภาษณ์ต่อสาธารณะว่า คำขอโทษดังกล่าวมิได้เกิดจากความสำนึกผิดโดยแท้จริง หากแต่เป็นเพียงการกระทำเพื่อให้คดีอาญายุติลงโดยเร็ว อีกทั้งยังกลับไปใช้อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรในประเด็นเดิมซ้ำอีกครั้ง พร้อมทั้งพาดพิงครอบครัวชิดชอบในลักษณะที่สร้างความเสียหายซ้ำซาก

...

“การกระทำดังกล่าวถือเป็นการย้อนแย้งกับคำรับสารภาพและหนังสือขอโทษที่ได้ทำไว้ต่อศาลและต่อประชาชน แสดงถึงการขาดความจริงใจ ไร้สำนึกรับผิดชอบ และไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม ทั้งยังเป็นการกระทำที่ซ้ำเติมให้เกิดความเสียหายแก่ครอบครัวชิดชอบ ทั้งที่ผู้เสียหายได้แสดงเมตตาและยุติคดีไปแล้ว พฤติกรรมเช่นนี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อเกียรติยศของผู้เสียหาย แต่ยังบ่อนทำลายความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อสภาผู้แทนราษฎร เพราะสะท้อนถึงการใช้สิทธิในฐานะสมาชิกสภาฯ โดยไม่ยึดมั่นในหลักนิติธรรม”

ที่สำคัญ การที่นายจุลพงศ์ได้ให้การยอมรับผิดในศาลแล้วกลับออกมาปฏิเสธต่อสาธารณะนั้น อาจเข้าข่ายการให้การอันเป็นเท็จ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ และอาจเป็นเหตุให้ต้องมีการพิจารณาดำเนินคดีใหม่ตามกรอบของกฎหมาย ทั้งเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของครอบครัวผู้เสียหาย และเพื่อปกป้องหลักนิติธรรมของประเทศไม่ให้ถูกทำลายลงด้วยพฤติกรรมที่ขาดความรับผิดชอบเช่นนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงข้อพิพาทส่วนบุคคล หากแต่เป็นบททดสอบสำคัญของมาตรฐานคุณธรรมและความรับผิดชอบของผู้แทนราษฎรต่อสังคม และประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินด้วยตนเองว่าการกระทำเช่นใดคู่ควรกับเกียรติภูมิของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.