“อนุทิน” เย้ย “จิราพร” เห็นชัดพูดเท็จขาดความมั่นใจ เล่าย้อนนาที “อิ๊งค์” ขอ มท.1 คืน ลั่นไร้สัมพันธ์ผู้นำกัมพูชา ไม่มีอังเคิล ย้ำไม่ใช่ MOA พิสดาร ซัดพูดแล้วจำด้วยไม่แทรกแซง ฉุนไม่ใช่ “ผู้ต้องหา” จี้ถอนคำพูด


เมื่อเวลา 09.39 น. วันที่ 30 กันยายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงหลังจากอภิปรายของ น.ส.จิราพร สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ในเรื่อง MOA พิสดาร รวมถึงคดีเขากระโดงและฮั้ว สว. ว่า ขอบคุณ สส.จิราพร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เราเคยอยู่ในรัฐบาลเดียวกันมาก่อน ต้องขอชี้แจงทีละประเด็นเพราะท่านพยายามที่จะใช้วาทกรรมอีกแล้ว ตนเคยชื่นชมท่านเวลาชี้แจงต่อรัฐสภา ท่านอภิปรายเวลาพูดความจริงดูน่าเชื่อถือมาก แต่เวลาพูดความเท็จมันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าขาดความมั่นใจ

นายอนุทิน กล่าวต่อไปว่า การพยายามจะทำให้เห็นว่าตนกับผู้นำกัมพูชาน่าจะรู้อะไรกัน เพราะผู้นำกัมพูชาเคยกล่าวไว้ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลใน 3 เดือน จริงๆ ตนไม่รู้จักผู้นำกัมพูชาในทางส่วนตัวสักคนเดียว เพิ่งเคยพบกับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ เพราะติดตาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นไปเยือนกัมพูชาเมื่อเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา โดยปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรี เป็นองค์ประกอบของคณะของนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัว

...

เล่าย้อนนาทีถูกขอ มท.1 คืน ลั่นไม่มีสัมพันธ์ส่วนตัวผู้นำกัมพูชา

“ท่านบอกว่าคงมีการตกลงอะไรกันมาก่อนเบื้องหลังหรือไม่ ขอยืนยันได้ครับว่าไม่มี เต็มที่ที่ผมมี มีแค่เพื่อนที่รู้จักกัน และไม่ได้เป็นผู้ที่มีอำนาจอะไรในรัฐบาลแห่งนั้น ไม่มีลุง ไม่มีอังเคิล (Uncle) มีแต่เพื่อน และไม่เคยได้พูดถึงเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินหรือการเสนอแนะอะไรที่เป็นการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว”

ขณะเดียวกัน ยังรู้สึกตกใจด้วยซ้ำว่าเมื่อกลับมาแล้วจากการติดตามนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ไปเยือนกัมพูชา เพื่อนๆ ของตนที่รู้จักกันเขาโทรศัพท์มาบอกว่า รู้ไหมที่เขาไม่ให้คุณเข้าประชุมหลายที่ เพราะเขาไปแจ้งผู้นำกัมพูชาว่าไม่ต้องคุยอะไรกับคุณมากหรอก เขาจะปลดคุณออกจาก มท.1 อยู่แล้ว นี่คือข้อมูลที่ตนได้รับทราบมา แต่ตนก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะจะเชื่อมากที่สุดก็ต้องเป็นข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากท่านนายกรัฐมนตรีในเวลานั้นก็คือท่านแพทองธาร

แต่ในที่สุดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 ได้รับการแจ้งอย่างเป็นทางการว่า พรรคเพื่อไทยต้องการกระทรวงมหาดไทยคืน ขอให้ตนไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงกราบเรียนท่านไปว่าถ้าแบบนี้มันก็เปรียบเสมือนเป็นข้อเสนอที่ต้องการให้ตนปฏิเสธ พูดตรงๆ มาเลยว่าจะให้ตนออกจากรัฐบาลดีกว่า แต่ท่านก็รักษามารยาทมาก ท่านบอกว่าไม่ใช่ไม่อยากให้อยู่ แต่ไม่ให้อยู่มหาดไทย ต้องไปอยู่สาธารณสุข จึงถามกลับว่าแล้วทำไมถึงต้องให้ไปอยู่สาธารณสุข 

“ผมทำอะไรผิด เป็นรัฐมนตรีคนเดียวในคณะรัฐบาลของท่านนายกฯ ที่ยืนอยู่เคียงข้างท่านนายกรัฐมนตรีในทุกๆ ขณะ ไม่ว่าจะเป็นวันดีหรือวันร้ายของท่าน ปกป้อง ให้ข้อเท็จจริง เมื่อท่านนายกรัฐมนตรีถูกกล่าวหาท่านนายกรัฐมนตรีก็ทราบดี แต่ท่านบอกว่าใกล้เลือกตั้งแล้ว เพื่อไทยต้องได้มหาดไทย ผมก็บอกว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านเชื่อว่าการได้กำกับดูแลกระทรวงมหาดไทยไปแล้ว ท่านจะชนะเลือกตั้ง 

คุณพ่อผมก็เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วเป็นตั้ง 2 ปีกว่า ตอนเลือกตั้งก็แพ้พรรคเพื่อไทยราบคาบในปี 2554 ทำไมท่านคิดเช่นนี้ แต่ไม่มีคำตอบครับ คำตอบก็คือก็จะเอามหาดไทยคืน แต่ผมเชื่อว่าท่านนายกรัฐมนตรีแพทองธารท่านไม่ได้พูดจากความต้องการในใจของท่านเอง ต้องมีคนบอกให้ท่านพูด เพราะในที่สุดก็ได้มายืนยันว่าไพ่ใบสุดท้าย ผมหวังว่าคนที่พูดกับผมน่าจะจำได้ว่าท่านพูดที่ไหน ไพ่ใบสุดท้ายคุณไปอยู่กระทรวงสาธารณสุข”

ตัดสินใจออกจากรัฐบาล ประจวบเหมาะมีคลิปเสียงอังเคิล

ต่อมา น.ส.จิราพร ประท้วงว่านายกรัฐมนตรีกำลังเล่าซีนดราม่า กล่าวถึงบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม โดยนายอนุทิน ยืนยันว่าไม่ใช่ซีนดราม่า น.ส.จิราพร ไม่ได้อยู่ตรงนั้น จะมาบอกว่าดราม่าได้อย่างไร ต่อมานายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วง น.ส.จิราพร ว่า นายกรัฐมนตรีกำลังอธิบายในสิ่งที่ น.ส.จิราพรถาม และกลับลุกขึ้นประท้วง ขอให้อดทนฟังสักนิดได้หรือไม่ จากนั้น นายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุมขอให้ นายอนุทิน ชี้แจงต่อ

นายอนุทิน กล่าวต่อไปว่า สุดท้ายก็ได้รับการยืนยันอีกครั้งหนึ่ง เลขาธิการนายกรัฐมนตรีมาหาถึงกระทรวงมหาดไทย บอกว่าต้องเป็นเช่นนี้ ไพ่ใบสุดท้ายวันนั้นเป็นวันที่ตนฝากไปกราบเรียนนายกรัฐมนตรีว่า พรรคภูมิใจไทยขอถอนตัว หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา มันบังเอิญ ช่างเหมาะเจาะที่มีเรื่องคลิปเสียง Uncle ออกมาพอดี ยิ่งทำให้พรรคภูมิใจไทยเกิดความมั่นใจว่าถึงเวลาที่เราต้องถอนตัวแล้ว ไม่ใช่แค่เพราะเขาเชิญออกจากรัฐบาล เพราะต้องการกระทรวงมหาดไทย แต่เมื่อมีเรื่องของคลิปเสียง แล้วมันเป็นเรื่องของบ้านเมือง เป็นสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยเห็นว่ามีความเสียหาย รัฐบาลขาดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศ เป็นเรื่องที่ไม่ควรบังเกิดขึ้นในฐานะเป็นรัฐบาลที่กำลังบริหารประเทศอยู่ นั่นคือเหตุผลที่เราถอนตัวออกมา ไม่มีเหตุอื่นๆ

หลังถอนตัวออกมาแล้ว ถ้าท่านถามว่ามีเหตุการณ์พิสดารอะไรไหม ไม่มี เมื่อถอนตัวออกมาสัปดาห์ถัดไปตนก็มารายงานตัวกับ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน ในฐานะที่จะมาเป็นพระร่วมฝ่ายค้าน ก็บอกว่าขอมาทำหน้าที่ร่วมกับทางพรรคประชาชน ไม่มีอะไรอย่างอื่น แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเราเห็นว่ารัฐบาลน่าจะไม่ไหวแล้ว พี่น้องประชาชนขาดความเชื่อมั่น เกียรติภูมิและอธิปไตยของประเทศได้รับความเสียหาย จึงพยายามให้ท่านยุบสภาดีกว่าด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม ซึ่งปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นานก็มีการร้องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งนายกรัฐมนตรีถูกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ 

ยืนยันยุบสภาแน่ใน 31 ม.ค. 2569

พวกเราก็เชื่อว่าก็ไม่มีคนยุบสภา จึงได้คุยกับทางพรรคประชาชนว่าแบบนี้ทำอย่างไรให้เกิดการยุบสภาขึ้น เราจึงหาวิธีที่จะคืนอำนาจให้ประชาชน จึงเป็นที่มาของ MOA และ MOA ไม่ได้พิสดารอะไร ไม่ได้ไปแอบเซ็น แต่ผู้นำฝ่ายค้านออกมาแถลง และไม่ได้ลงนามด้วยกัน ท่านบอกว่าถ้าเป็นไปตามนี้ ถ้าพรรคภูมิใจไทยรับได้ก็ให้มาเซ็น นายณัฐพงษ์ลงนามทิ้งไว้แล้วก็ไป พรรคภูมิใจไทยเห็นแล้วว่าเงื่อนไขของ MOA ทั้งหมดเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้เรามีทางออกและประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้

เงื่อนไขคือต้องยอมรับความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ภารกิจตามที่ นายณัฐพงษ์ พูดเลยภายใน 4 เดือน เสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และดำรงความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ส่วนพรรคประชาชนจะกลับไปทำหน้าที่ฝ่ายค้าน โดยพรรคภูมิใจไทยต้องไม่ทำวิธีการใดๆ ที่จะเป็นการทำให้เกิดเสียงข้างมาก ซึ่ง MOA ทำระหว่างพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน ไม่ได้ผูกพันทั้งรัฐบาล แต่เมื่อพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยจะรักษาสัญญา พูดแล้วว่าหลังวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นับไป 4 เดือน คือไม่เกินวันที่ 31 มกราคม 2569 ยุบสภา ส่วนวันที่ 14-15 ตุลาคมนี้ พรรคภูมิใจไทยก็จะเสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญ 

MOA ไม่พิสดาร คดีเขากระโดง-ฮั้ว สว. ยึดตามกฎหมาย

“แล้วไม่ตรงกับ MOA ตรงไหน พรรคภูมิใจไทยได้ สส.เพิ่มหรือไม่ในการที่จะไปดึงไปดูด สส.จากพรรคพวกท่านเข้ามา ไม่มีเลย มีแต่พรรคภูมิใจไทยถูกดูดจากพรรคพวกท่านก็เห็นๆ กันอยู่ โชคดีเขากลับตัวทัน เขาบอกเขาไม่ไป เขากลับมาดีกว่า ที่บอกว่าพรรคภูมิใจไทยมี สส.เพิ่มขึ้น แต่มีเพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งซ่อมที่ศรีสะเกษ มาจากการเลือกตั้งถูกต้อง ไม่ได้ไปดูดใครมา มาจากสิ่งที่พี่น้องประชาชนได้เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วโดนใจพี่น้องประชาชน ให้เกียรติพี่น้องประชาชน MOA นี้จะมาบังคับรัฐบาลในเรื่องการบริหารแผ่นดินไม่ได้ แต่จะกำหนดให้รัฐบาลได้ดำเนินการหลักๆ คือเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญและทำการยุบสภา ซึ่งผูกพันระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย” 

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ตนมาเป็นนายกรัฐมนตรี อำนาจการยุบสภาไม่ได้อยู่ที่รองนายกฯ หรือหัวหน้าพรรคกล้าธรรม หรือภายในคณะรัฐมนตรี อำนาจของการยุบสภาอยู่ที่นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เพราะฉะนั้นตนต้องทำตามข้อตกลงที่มีไว้อยู่แล้ว เพราะเป็นข้อตกลงที่เปิดเผย พี่น้องประชาชนได้รับรู้รับทราบกันหมด ฉะนั้นท่านต้องใช้เวลาอ่าน MOA ให้เข้าใจ และอ่านบริบททั้งหมดให้เข้าใจว่าไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ไม่มีความวิจิตรพิสดารใดๆ ตนได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ไม่มีสิ่งใดเป็นสิ่งแปลกหรือสิ่งที่เขาไม่เคยกระทำกันมาก่อน

“ที่ท่านอภิปรายมาท่านต้องการให้ผมลุกขึ้นมายืนพูด ให้สัญญาได้หรือไม่ว่าผมจะไม่ใช้อำนาจหน้าที่ไปกดดัน สั่งการ ชี้แนะให้ข้าราชการประจำเปลี่ยนแนวทางในการทำเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ อย่างเช่นเรื่องเขากระโดง เรื่องฮั้ว สว. ซึ่งเรื่อง ฮั้ว สว. อยู่ที่ กกต. อยู่แล้ว ถ้ามีปัญหาเรื่องการได้มาซึ่ง สว. ทาง กกต. เป็นผู้ดำเนินการ มีแต่รัฐบาลของท่านไปพยายามสั่งให้ DSI ดำเนินการ แล้วมันก็ไปติดที่ข้อกฎหมาย สุดท้ายคนที่ดำเนินการก็คือ กกต. ไม่ว่าท่านจะพยายามส่งผู้แทนเข้าไปใน กกต. อะไรก็แล้วแต่ ก็ทำได้ แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามข้อกฎหมาย” 

เรื่องเขากระโดงก็เช่นกัน ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยออกมาแถลงชี้แจงแล้ว วันนั้นรัฐมนตรีมหาดไทยของท่านใจร้อนเอง เข้าไปก็บอกว่าวันที่ 2 สิงหาคม 2568 จะยึดที่ดิน ทำงานแบบท่านจิราพร อ่านไม่ได้ศัพท์ อ่านเร็วๆ แล้วก็นึกว่าตัวเองเก๋า ก็เลยไปสรุปทุกเรื่องหมด ซึ่งเรื่องหนังสือราชการต้องอ่านทุกถ้อยคำ แล้วต้องตีความด้วย สุดท้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดีกรมที่ดินที่ท่านตั้งเอง เพราะคนเก่าถูกย้ายออกไป ทุกคนก็มาแถลง คณะกรรมการที่ท่านตั้งก็แถลงว่ารัฐมนตรีทั้ง 2 ท่านพูดเร็วเกินไป พูดไม่ตรงกับมติของคณะกรรมการ แล้วจะมาโทษอะไรตน คนที่ใช้อำนาจหน้าที่ที่ไปกดดันก็คือ รมว.มหาดไทย รมช.มหาดไทย 2 ท่านนั้นต่างหาก 

ฟังแล้วจำด้วย ไม่มีวันใช้อำนาจช่วยเหลือใคร 

ตนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเกือบ 1 เดือน เพิ่งเข้าเฝ้าฯ วันนี้แถลงนโยบาย เพิ่งได้เข้าไปกระทรวงมหาดไทยเพื่อไปทักทายข้าราชการยังไม่ได้สั่งการอะไร และไม่มีความกังวลที่จะต้องไปสั่งการอะไรเพราะรู้เรื่องดี อยู่ที่นั่นมา 2 ปี รู้แล้วว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ทีมตนมีหนังสือไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทยว่าให้ดำเนินการอย่างเต็มที่ตามกฎหมาย ตามระเบียบ ไม่ต้องละเว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม วันนี้อ่านข่าวท่านผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย จะเร่งฟ้องเป็นรายแปลง นั่นคือสิ่งที่ตนต้องการ อย่าไปฟ้องเหมารวม ใช้เวลานาน ไล่ฟ้องเป็นรายแปลง แปลงไหนผิดก็ต้องเร่งยึดไปทันที แปลงไหนถูกก็ต้องคืนความเป็นธรรมให้เขา 

“ถ้าอยากจะฟังอีกครั้งก็จะบอกให้ฟัง แล้วท่านจำด้วยว่าผมพูดแล้วว่า ผมจะไม่มีวันใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรือในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลทุกกระทรวงในรัฐบาลนี้ ไปให้พวกเขาช่วยเหลือใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมาย อย่าว่าแต่พวกผมเลย พวกท่านก็ช่วยไม่ได้ พวกผมยิ่งต้องช่วยไม่ได้ใหญ่ เพราะฉะนั้นขอให้มีความมั่นใจว่าจะไม่ดำเนินการเรื่องนี้เป็นอันขาด”

จี้ถอนคำพูด หลังกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ต้องหา”

พร้อมกันนี้ นายอนุทิน ขอให้ น.ส.จิราพร ถอนคำพูด เพราะตนเองไม่ได้เป็นผู้ต้องหา ยังไม่ได้เป็นผู้ถูกกล่าวหา ท่านชอบใช้วาทกรรมพูดแล้วให้ประชาชนเข้าใจผิด ท่านบอกนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ต้องหาของ DSI ท่านเรียกอธิบดี DSI มาตรงนี้เลย แล้วให้ถามว่าตนเป็นผู้ต้องหาหรือเปล่า กล้าหรือไม่ แล้วถ้าเขาบอกว่าเขาบอกไม่ใช่ผู้ต้องหา ท่านต้องไปแถลงให้ด้วยว่าตนไม่ใช่ผู้ต้องหา แต่เป็นเพียงผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งให้ความร่วมมือตามกฎหมายทุกอย่าง ได้ส่งจดหมายไปชี้แจงข้อกล่าวหา ตั้งทนายความขึ้นมาศึกษาข้อกล่าวหา แล้วก็ศึกษาคดีออกมาเป็นอย่างไร ถ้าคนผิดจะมีกระบวนการที่จะลงโทษอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ตนยังไม่ได้ถูกเป็นผู้ถูกกล่าวหา 

“ขอให้ถอนคำพูดคำนี้ ผมไม่ใช่ผู้ต้องหา การที่ท่านมาพูดว่าผมและ สว. เป็นผู้ต้องหา เป็นคำพูดที่ผิด วันนี้ สว. ยังไม่มีใครเป็นผู้ต้องหาแม้แต่คนเดียว สถานะเดียวกันกับตนคือเป็นผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา และเราดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ถ้าท่านพูดความจริงผมก็ไม่ต้องพูด แต่ท่านพูดความเท็จผมก็ต้องพูด จริงๆ ไม่อยากจะพูดหรอกแต่เป็นความจำเป็นที่จะต้องชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบ”

ในตอนท้าย นายอนุทิน ยังตั้งคำถามด้วยว่า ไม่รู้ว่า น.ส.จิราพร วางยาตนหรือไม่ ให้ไปบอก สว. ว่ามาแก้รัฐธรรมนูญกัน ต้องรับรัฐธรรมนูญ “ท่านกำลังชี้ทางไปนรกให้ผมเลย ผมจะไปพูดอย่างนั้นได้อย่างไรล่ะ ก็เขาห้ามชี้นำ แล้วก็ห้ามไปโน้มน้าวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงสมาชิกวุฒิสภาด้วย ผิดรัฐธรรมนูญ” กำลังประสงค์ร้ายให้ตนผิดรัฐธรรมนูญ แล้วเดี๋ยวก็มาอภิปราย ยืนยันว่าทำไม่ได้ในเรื่องนี้ เป็นเรื่องของประชาธิปไตย ใครอยากจะแก้ก็แแก้ไข เห็นด้วยก็แก้ไข ไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องแก้ แล้วก็ส่งขึ้นไปตามกระบวนการ ซึ่ง สว. ก็มีกระบวนการของเขา

ก่อนจะย้ำว่ารับรอง 4 เดือน 31 มกราคม 2569 ช้าสุด ยุบสภาแน่ และมีแต่จะเร็วกว่า 31 มกราคมด้วยซ้ำถ้ามีความจำเป็นจะต้องยุบ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวล ไม่เกิน และใน 4 เดือนนี้ที่ท่านบอกว่าคอยดูคนจะมาชี้ชะตาพรรคภูมิใจไทย ไม่ต้องรอ 4 เดือนหรอก เลือกตั้ง สส.ศรีสะเกษ เขาชี้ชะตาทางพรรคภูมิใจไทยและพรรคท่านด้วย ก่อนจบการชี้แจง 10.05 น. จากนั้นประธานขอให้ น.ส.จิราพร ถอนเรื่องผู้ต้องหา ซึ่ง น.ส.จิราพร ยอมถอนคำว่าผู้ต้องหา ก่อนปรับคำเป็นผู้ที่พัวพันในคดีและส่อที่จะเข้ามายุบคดีหรือไม่.