“วรวัจน์” อัด “อนุทิน-ธรรมนัส” เปิดช่องนำเข้าพืช GMO, GEd ทำลายราคาสินค้าเกษตร ทำประเทศ-เกษตรกรไทย สูญรายได้มหาศาล มานานถึง 15 ปี เตรียมยื่นร้อง ป.ป.ช.-ศาลจังหวัด-ศาลปกครอง-ศาล รธน. ฟันเอาผิด


วันที่ 29 กันยายน 2568 นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายว่า 15 ปีที่ผ่านมา เงินที่ควรจะอยู่ในกระเป๋าของเกษตรกรไทย กลับถูกสูบออกไปเหมือนเราถูกใช้เป็นตู้เอทีเอ็มของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติ หรือทุนใหญ่ในประเทศปีละกว่า 60,000 ล้านบาท นี่ไม่ใช่ตัวเลขเล่นๆ แต่มันคือเลือดเนื้อ น้ำพักน้ำแรง และอนาคตของลูกหลานคนไทย ที่ถูกสูบเลือดสูบเนื้อในชื่อสวยหรูว่า “การพัฒนาเพื่ออุตสาหกรรม” โดยทั้งหมดนี้ เริ่มต้นเมื่อปี 53 พรรคภูมิใจไทย (ภท.) โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคเข้าร่วมรัฐบาล และได้ส่งนายศุภชัย โพธิ์สุ ไปเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเป็นคนเซ็นประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฉบับที่ 10/2553 ซึ่งปรากฏว่า ขัดต่อ พ.ร.บ.กักพืชปี 2507 ที่เป็นกฎหมายแม่อย่างชัดเจน เพราะว่า พ.ร.บ.กักพืช ห้ามนำเข้าพืชตัดต่อพันธุกรรมเข้ามาภายในประเทศไทย อนุญาตให้นำเข้ามาได้เฉพาะเพื่อการวิจัยและการทดลองเท่านั้น


นายวรวัจน์ กล่าวว่า แต่ปรากฏว่า ประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่นายศุภชัยเซ็นนั้นอนุญาตให้นำพืชตัดต่อพันธุกรรมให้นำเข้าไปใช้ในอุตสาหกรรมได้ นี่จึงเป็นการเปิดประตูผิดกฎหมาย และนี่คือจุดเริ่มต้นของความหายนะของเกษตรกรไทย ที่ทำให้เงินทุนไทยและเงินของเกษตรกรไทยรั่วไหลเกินกว่า 900,000 ล้านบาทใน 15 ปีที่ผ่านมา วันนี้กระบอกสูบที่แข็งแรง อันที่ 2 ก็ถูกยื่นออกมาสูบเลือดสูบเนื้อของพี่น้องเกษตรกรไทยอีกครั้งหนึ่ง เป็นพืชตัดต่อพันธุกรรมที่ชื่อ Genome Edited โดยมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้เซ็นประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ 11/07/2567 เรื่องการรับรองสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร ซึ่งก็คือ พันธุกรรมที่ขัดต่อกฎหมาย คือ พ.ร.บ.กักพืชปี 2507 อย่างชัดเจน พูดให้ชัดๆ คือ ข้าวโพดประเทศไทย มีความต้องการใช้ปีละ 9 ล้านตัน แต่พี่น้องเกษตรกร ผลิตได้เพียง 5 ล้านตัน จริงๆ แล้วราคาจะต้องขึ้นไปสูงกว่านี้เพราะขาดแคลน แต่มีการนำเข้าพืช GMO พืชอุตสาหกรรม อีกประมาณปีละ 2.6 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 26,000 ล้านบาท นอกจากนั้น ถั่วเหลืองประเทศไทย มีความต้องการใช้ปีละ 2 ล้านตัน แต่เกษตรกรผลิตได้เพียง 110,000 ตัน จึงมีการนำเข้าพืช GMO อีกประมาณ 1.5 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท นอกจากนั้น ยังมีการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์อื่นๆ อีกประมาณ 15,000 ล้านบาท นอกจากนั้น ยังเสียค่าลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์อีกกว่า 5,000 ล้านบาท รวมแล้วมากกว่า 60,000-70,000 ล้านบาทต่อปี เงินเหล่านี้ถูกดูดออกจากกระเป๋าของพี่น้องเกษตรกรไทย เหมือนเปิดเครื่องสูบพญานาคขนาดยักษ์ให้ต่างชาติมาสูบกินเลือดเนื้อเกษตรกรคนไทย แล้วผลลัพธ์คืออะไร ราคาข้าวโพดไทย ตกต่ำเหลือเพียง 7-8 บาท ทั้งที่ขาดแคลน ควรจะขายได้ไม่ต่ำกว่า 15 บาท มันสำปะหลังไทย ราคาตกขายไม่ออก ถั่วเหลือง ถูกกดราคา แม้แต่ข้าวก็ยังตกต่ำ เพราะนายทุนไปนำเข้าพืช GMO มาทดแทนพืชกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ทำให้พี่น้องเกษตรกร ขาดทุนขายสินค้าเกษตรไม่ได้ราคา หนี้สินพุ่งไม่หยุด 15 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยสูญเสียแล้วเกินกว่า 900,000 ล้านบาท เราจะไม่ลืมว่าใครเปิดประตูนำเข้าพืช GMO ในปี 2553 ใครมีส่วนเกี่ยวข้อง และใครกำลังจะเปิดประตูเพื่อตัดต่อพันธุกรรมที่ชื่อ Genome Edited ในวันนี้ ควรหยุดการสูบเลือดสูบเนื้อเกษตรกรไทย นี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้ทางกฎหมาย แต่มันคือสงครามเพื่อเอาชีวิตรอดของประเทศ และเป็นการทวงคืนอนาคตของเกษตรกรไทย ประเทศไทยไม่ใช่ห้องทดลองของบริษัทข้ามชาติ และเกษตรกรไทยไม่ได้เป็นหนูทดลองให้ใครหลอกขายพืชตัดต่อพันธุกรรมอีก

...


“หากรัฐบาลของท่านนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล มีความห่วงใยเกษตรกรจริงอย่างที่ปากพูด ต้องยกเลิกประกาศอัปยศเหล่านี้ทันที มิเช่นนั้นท่านอย่าคาดหวังเลยว่าเกษตรกรไทยมากกว่า 30 ล้านคนจะไว้วางใจ ให้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรี และให้ท่านทำนโยบายที่สูบเลือดสูบเนื้อ ดูดกินถึงกระดูก พี่น้องเกษตรกรไทยอีกต่อไป”


อย่างไรก็ตาม นายวรวัจน์จะยื่นร้อง 1.สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยด่วน ซึ่งหากพบการกระทำผิด ให้ส่งเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อพิจารณา และเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยความผิดจริยธรรมร้ายแรงและดำเนินการถอดถอนผู้ถูกร้องจากตำแหน่ง พร้อมตัดสิทธิทางการเมือง รวมถึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิกถอนประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฉบับที่ 10 พ.ศ.2553 2.ฟ้องศาลจังหวัด เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ (ทั้งรายบุคคลและในรูปแบบกลุ่ม) ให้ศาลพิจารณาสั่งให้รัฐหยุดการดำเนินนโยบายหรือประกาศที่ก่อให้เกิดความเสียหายซ้ำซ้อน, ห้ามนำเข้า GMO และ GEd โดยมิชอบ


3.ร้องศาลปกครอง ให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฉบับที่ 10 พ.ศ.2553 และให้จำเลยชดเชยค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย รวมถึงมีคำสั่งคุ้มครองห้ามจำเลยนำเข้าพืช GMO และ GEd อีกต่อไป และ 4.ร้องศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยการกระทำของผู้ถูกร้องว่าเข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีมูล ให้มีคำสั่งถอดถอนผู้ถูกร้องจากตำแหน่ง และเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ


นอกจากนี้ นายวรวัจน์ กล่าวว่าอยากขอให้พี่น้องประชาชนร่วมกันลงชื่อยกเลิกประกาศ ที่ทำให้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ, GMO และ GEd ก่อนเกษตรกรไทยจะสูญรายได้มหาศาลมากกว่านี้ ผ่านทางช่องทาง https://chng.it/vC9nkNVFFf