“สิทธิพล” สส.พรรคประชาชน ชี้ โจทย์ใหญ่เศรษฐกิจคือเรื่องสงครามการค้า แนะรีบช่วย SME แก้ไขปัญหาสินค้าสวมสิทธิ หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดปลอม และปัญหาสินค้าจีนทะลัก คาดสูงถึง 9 หมื่นล้าน
วันที่ 29 กันยายน 2568 ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแถลงนโยบายต่อรัฐสภาโดยคณะรัฐมนตรี นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายถึงประเด็นสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และเกษตรกรที่ได้รับกระทบรุนแรงจากมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา สกัดปัญหาการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า ป้องกันการทุ่มตลาด
นายสิทธิพลระบุว่า โจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยวันนี้ คือสงครามการค้า ต้องเตรียมรับมือภาษีใหม่ของสหรัฐอเมริกา หรือที่เรียกว่าภาษีทรัมป์ โดยเฉพาะผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายเล็ก รายน้อย หรือที่เรียกว่า SME แบงก์ชาติประเมินว่า มี SME เสี่ยงได้รับผลกระทบ จากภาษีทรัมป์มากกว่า 3 ล้านกิจการ เกี่ยวข้องกับการจ้างงานมากกว่า 12 ล้านคน นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ทุกธุรกิจคือห่วงโซ่ใน Supply Chain ทุกคนในห่วงโซ่การผลิตได้รับผลกระทบหมด ยิ่งถ้ามาดูสถานการณ์ SME ไทย วันนี้พบว่าลำบากมาก ทั้งจากเศรษฐกิจไม่ดี ค้าขายยาก รายได้หด ต้องกู้หนี้ ยืมสิน จนวันนี้ หนี้เสียของ SME ทะลุ สูงกว่าช่วงโควิดไปแล้ว เลวร้ายสุดคือเมื่อพึ่งในระบบไม่ได้ ก็ต้องไปพึ่งหนี้นอกระบบ ซึ่งเสี่ยงสร้างปัญหาระยะยาวให้ SME หนักขึ้น
ในระยะสั้นรัฐบาลต้องแก้ปัญหาให้ SME จากผลกระทบของภาษีทรัมป์ให้ได้ อย่างน้อย 3 เรื่อง
1) ปัญหาสินค้าสวมสิทธิ หรือ Transshipment สหรัฐ ขึ้นภาษีหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยสหรัฐฯมีแนวโน้มเก็บภาษีสองอัตรา สินค้าไหน ไม่สวมสิทธิ คิดอัตราถูก / สินค้าไหนสวมสิทธิ คิดอัตราแพง ตัวอย่างที่โดนไปแล้ว คือ แผงโซลาร์เซลล์ ที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษี CVD หรือ “ภาษีตอบโต้การอุดหนุน” แผงโซลาร์จากไทย สูงถึง 300 กว่าเปอร์เซ็นต์ บางรายโดนเก็บมากถึง 900 เปอร์เซ็นต์ เขาไม่ได้เก็บเพราะเราอุดหนุน เขาเก็บเพราะบอกรัฐบาลจีนอุดหนุน เรียกว่ารัฐบาลประเทศอื่นอุดหนุน แต่ตามมาเก็บภาษีที่บ้านเราด้วย แถมไม่ได้เลือกเก็บบริษัทใดบริษัทหนึ่ง เก็บทุกบริษัท
...
ส่วนเรื่องหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดปลอม ปัจจุบันกรมการค้าต่างประเทศออกปีละ 338,000 ฉบับ (ข้อมูลปี 67) แต่มีเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ 10 คน ยังไม่นับที่ออกจากสภาหอการค้า สภาอุต หอการค้าจังหวัดอีก รวมๆ มี C/O ออกไปจากประเทศเราอย่างน้อย 5-6 แสนฉบับต่อปี (C/O หรือ Certificate of Origin หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดของสินค้า) ในวงการเอกชนต่างก็รู้ว่าการออก C/O ปลอมนั้นสร้างปัญหาและทำลายชื่อเสียงสินค้าไทย
2) ปัญหาสินค้าต่างชาติทะลัก มีการประเมินว่า หลังมีภาษีทรัมป์ จีนจะระบายสินค้าหนักขึ้น จะทะลักเข้าไทยอีกเกือบ 90,000 ล้าน เดือนที่ผ่านมา ได้ปรากฏสัญญาณอันตรายของเรื่องนี้ มูลค่านำเข้าเดือน สิงหาคม 2568 เพิ่มขึ้น 15.8% เทียบกับค่าเฉลี่ย 8 เดือนแรก ที่ขยายตัว 11.3% และถ้าไปดูไส้ใน ยิ่งน่ากังวล เพราะสินค้าที่นำเข้าเพิ่มขึ้นมาก คือ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 16.9% เป็นอัตราที่เพิ่มมากกว่าค่าเฉลี่ยนำเข้ารวม และเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว สินค้ากลุ่มนี้เองที่จะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งสินค้าไทย เฉพาะไตรมาส 2 ปีนี้ ไทยนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่ม 38.3% ขณะที่ปี 2567 ไทยนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นเพียง 13%
3) ปัญหามาตรการเยียวยาที่ล่าช้า ที่ SME เข้าไม่ถึง รัฐบาลที่ผ่านมาประกาศว่าจะมีซอฟท์โลน 2 แสนล้าน ช่วยผู้ประกอบการ รักษาสภาพคล่องที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า สำนักงานประกันสังคมก็ได้เตรียมสินเชื่อพยุงการจ้างงาน วงเงิน 30,000 ล้านบาท แต่ผ่านมา 2 เดือนกว่า ยังไม่มีผู้ประกอบการสักคนได้รับการช่วยเหลือ รัฐบาลจะมีแนวทางเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ ให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร
นายสิทธิพล จึงขอเสนอ 3 มาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือ SME
1) แก้ไขปัญหา Transshipment หรือสินค้าสวมสิทธิ เตรียมความพร้อมทรัพยากร สำหรับแก้ปัญหา เช่น ปรับปรุงกระบวนการออกและตรวจสอบหนังสือรับรองถิ่นกำเนิด (C/O) เพิ่มจำนวนคน ระบบ เทคโนโลยี ให้เหมาะสม ทำระบบติดตามเรื่องร้องเรียนให้โปร่งใส มี DASHBOARD เปิดเผยสถานะการแก้ปัญหา เพื่อสามารถติดตามการแก้ปัญหาให้เร็ว และแก้ได้จริง
2) แก้ปัญหาสินค้าไม่ได้มาตรฐาน สินค้าราคาต่ำทะลัก โดยเปิดเผยข้อมูลการเจรจา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมตัว เช่น การออกมาตรฐานสินค้าใหม่ๆ และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าให้เข้มข้น
3) เร่งมาตรการเยียวยา ให้ SMEs เข้าถึงได้ มีตัวชี้วัดการเข้าถึงมาตรการ Soft Loan ของ SMEs ว่าเข้าถึงได้จริง ระยะเวลาในการอนุมัติสินเชื่อไม่นานเกินไป ติดตามตัวเลขการจ้างงาน / ลดคนงาน / การปิดตัว ของ SMEs เพื่อประเมินว่า SMEs เข้าถึงมาตรการรักษาการจ้างงานหรือไม่