“ดนุพร” ซัดรัฐบาลอนุทิน ไม่ให้ความสำคัญกับปัญหายาเสพติด  ท้าทำประชามติถามประชาชนเอากัญชาถูกกฎหมายหรือไม่ 


วันที่ 29 ก.ย. 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบการแถลงนโยบายของรัฐบาล นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่าเป็นที่น่าสังเกตว่า คำแถลงนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ มีคำว่ายาเสพติดเพียงแค่ 2 คำเท่านั้น จากคำแถลงนโยบายหลายสิบหน้า “ผมสงสัยจริงๆ ว่า รัฐบาลนี้มีจุดยืนในเรื่องของการปราบปรามยาเสพติดอย่างไร จะให้ความสำคัญมากกับเรื่องที่เป็นคดีเกี่ยวกับที่ดิน หรือให้ความสำคัญเท่ากับคดีหัวต่างๆ ที่เป็นที่พูดถึงกันมากมายในสังคมหรือไม่“ นายดนุพร กล่าวและว่า

ปล่อย ป.ป.ส.-ตำรวจทำงาน

หากดูผลงานของรัฐมนตรีชุดนี้ในอดีต ในสมัยที่เคยเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย จะเห็นว่ากระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับ เอ็กซเรย์พื้นที่ การจับกุมผู้ผลิต ผู้จำหน่ายในประเทศเท่าที่ควร เต็มที่ก็แต่เพียงการปล่อยให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และตำรวจดำเนินการเท่านั้น

ยก พท. ชูเป็นวาระแห่งชาติ

แต่หลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้ขอกระทรวงมหาดไทยมากำกับดูแลเอง พบว่ามีนัยสำคัญ ซึ่งนายภูมิธรรม เวชชัย ได้เริ่มโครงการ No Drug No Dealer เป็นการผลักดันการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน ว่าจะทำให้หมู่บ้านและชุมชนปลอดจากยาเสพติด และจะต้องไม่มีผู้ค้าและผู้เสพ

จากข้อมูลจะพบว่า ก่อนวันที่นายภูมิธรรมเข้ารับตำแหน่ง มีตัวเลขการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดได้เพียง 9,000 กว่ารายเท่านั้น แต่หลังจากที่มีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ภายในเวลาไม่กี่เดือนเราสามารถจับกุมผู้ค้ายาเสพติดได้ 13,431 ราย มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาหลายพันคน

...

“ในช่วงระยะเวลาเพียงสามเดือนที่มีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีการทำงานในลักษณะบูรณาการของเจ้าหน้าที่ฝ่าย เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่จากสาธารณสุข เข้ามาร่วมกันขับเคลื่อนปัญหายาเสพติดอย่างครบถ้วนทุกมิติ รวมทั้งมีการป้องกันสกัดกั้นไม่ให้ยาเสพติดเข้าสู่ประเทศ ซึ่งพบว่าได้ผลที่ดี“

ถาม 2 ปีเป็นมท.1 ทำอะไรอยู่

”นี่จึงเป็นคำถามที่ว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาสองปี ซึ่งเป็นช่วงที่ท่านอนุทิน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในวันนั้นท่านทำอะไรอยู่? ซึ่งวันนี้ก็พอได้คำตอบ หลังจากฟังการแถลงนโยบายว่า ที่สุดแล้วท่านได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่? สิ่งที่ท่านพูดในตอนหาเสียงว่าพูดแล้วทำนั้น อาจจะทำให้เข้าใจได้ว่า ในเมื่อสิ่งใดที่พูด ก็อาจจะไม่ทำหรือไม่?”

ย้ำนโยบายภท.ปลดล็อกกัญชา

นายดนุพร กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยจะดีขึ้นได้ต้องอาศัยองค์ประกอบของหลายภาคส่วน และจะต้องมีประชาชนอยู่ในสมการนี้ด้วย หมายความว่าหากประเทศนี้ท่านยังยอมปล่อยให้ประชาชนตกเป็นทาสของยาเสพติด คุณภาพของประชาชน และคุณภาพของเยาวชนของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร  หลังจากที่ได้ค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าเพราะอะไรคำแถลงนโยบายของรัฐบาลชุดนี้จึงไม่มีคำว่ายาเสพติดมากนัก ทำให้พบข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 วันนี้ประชาชนทั่วไปอาจจะไม่เข้าใจว่ามันเป็นวันที่สำคัญอย่างไร แต่คนที่ทราบดีคือ ท่านอนุทิน ชาญวีรกุล ซึ่งในขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในสมัยรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา

เย้ยเศรษฐกิจกัญชา

และวันนี้ (9 มิ.ย.2565) เป็นวันที่มีการปลดล็อกกัญชา โดยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีการลดทอนความผิดการปลูก และพรรคภูมิใจไทยยังเคยมีนโยบายในการหาเสียงการเลือกตั้ง ปี 66 ว่าจะดำเนินการแจกต้นกล้ากัญชาให้เกษตรกร  “ท่านอนุทินเคยปราศรัยว่ากัญชานั้น ปลูกได้บ้านละไม่เกินหกต้น ให้ประชาชนมีรายได้ และนอกจากนั้นแล้วหากอยู่ที่บ้านก็เอามาพี้ต่อได้อีก หรือว่าแท้จริงนี่คือ นโยบายเศรษฐกิจของท่าน?”

ถามเอาจริงแก้ยาเสพติดจริงหรือ

ส่วนในสมัยรัฐบาลเศรษฐา ซึ่งมีความพยายามนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติดนั้น ก็มีนักข่าวไปสอบถามนายอนุทิน ก็ได้รับคำตอบว่า ท่านไม่เห็นด้วยที่จะนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดคำถามว่ารัฐบาลชุดนี้จะดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาและปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจังหรือไม่

ถามวิธีปลอดยาเสพติด

นายดนุพร อภิปรายต่อว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาร้ายแรงที่ทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่นั่งอยู่นี้ ท่านก็อยากจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แต่หากมีการปล่อยให้ประชาชนและเยาวชนของเราไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดได้ ประเทศเรามีปัญหาแน่นอน  “ก่อนหน้านี้ท่านได้ตอบคุณหมอชลน่าน ว่าท่านเป็นห่วงเรื่องภาพลักษณ์ของประเทศชาติ ต้องการรักษาเกียรติภูมิของประเทศชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ดี แต่ผมไม่ทราบว่า ผู้นำต่างชาติจะมองท่านอย่างไรในสายตาของเวทีโลก เพราะท่านเป็นคนหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการเอากัญชาออกจากบัญชียาเสพติด และนักข่าวต่างประเทศก็เคยให้ฉายาท่านในเรื่องนี้ ฉะนั้นสิ่งที่ท่านต้องตอบคือท่านจะทำอย่างไรให้เมืองไทยเป็นประเทศที่ปลอดยาเสพติดอย่างจริงจัง”

ท้าทำประชามติ

นายดนุพร กล่าวต่อว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พูดว่าต้องการเห็นประชาชนเป็นใหญ่ ต้องการฟังเสียงประชาชน จะมีการทำประชามติยกเลิก MOU 43 44 เรื่องนี้หากสภาเห็นด้วยก็ทำได้ จะได้สร้างความเข้าใจ แก้ปัญหา แก้ข้อขัดแย้งความข้องใจในสังคม แต่ไหนๆ จะมีการทำประชามติแล้ว หากท่านต้องการฟังเสียงประชาชนจริงๆ ก็ควรลองทำประชามติถามประชาชนอีกข้อหนึ่งว่า อยากให้เอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติดหรือไม่  เพราะตั้งแต่มีการเปิดนโยบายกัญชาเสรี พบว่ามีข้อมูลผู้ป่วยอายุน้อยที่ได้รับพิษจากกัญชาเพิ่มขึ้นสูงถึง 26% และมีผู้ป่วยจิตเวชจากผลกระทบของกัญชาเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ห่วงปัญหาคอลเซ็นเตอร์

นายดนุพร กล่าวถึง ปัญหาของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วยว่า ในการแถลงนโยบายนั้นไม่มีการกล่าวถึงปัญหาเรื่องนี้เลยแม้แต่ข้อเดียว มีเพียงแค่การใช้คำว่า ภัยไซเบอร์กล่าวถึงอย่างกว้างๆ เท่านั้นเอง ซึ่งเรื่องนี้อดเป็นห่วงไม่ได้เนื่องจากในรัฐบาลที่ผ่านมาเราได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทั้งมีการพัฒนาระบบอายัดบัญชีคนร้ายทันที รวมทั้งติดตามเร่งรัดกระบวนการคืนเงินให้กับผู้เสียหาย รวมทั้งการตัดตอนต้นทางการก่ออาชญากรรมทั้งการตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดน้ำมัน เพื่อตัดตอนปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

“สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นการดำเนินนโยบายที่ดีของรัฐบาลที่ผ่านมา และผมหวังว่าท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้จะนำเรื่องนี้ไปดำเนินการต่อ” นายดนุพร กล่าว