“จุรินทร์” ลั่นพรรคประชาธิปัตย์ค้านตามเนื้อผ้า ชี้ นายกฯ กลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร เก้าอี้ รมต. แบ่งกันเหลือเฟือ แถมมีแต้มต่อเรื่องการใช้งบประมาณ บอกนายกฯ “นายแน่มาก” กล้าตั้ง รมต. ที่รัฐบาลที่แล้วก็ไม่กล้าตั้ง แต่ขอชมหน้าตา รมต.คนนอก ติง 6 นโยบายหลัก ลืมภาคเกษตร-ละเลยต้นตอคอร์รัปชั่น


เมื่อเวลา 11.10 น. วันที่ 29 กันยายน 2568 ที่รัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอภิปรายต่อที่ประชุมรัฐสภา ในวาระแถลงนโยบายรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ต่อที่ประชุมรัฐสภา ตอนหนึ่งว่า ยินดีกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายอนุทินและ ครม.ทุกคน ถือเป็นนโยบายควิกวิน นโยบายแรกที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังไม่แถลงนโยบาย ทั้งนี้ตนและพรรคประชาธิปัตย์ ขอทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ที่จะไม่ค้านทุกเรื่อง แต่จะว่าไปตามเนื้อผ้า ไม่มีอคติ ไม่มีบุญคุณความแค้นใดๆ พร้อมทำหน้าที่ร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านทุกพรรค เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบนโยบายและการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลแทนประชาชน นโยบายรัฐบาลชุดนี้ มี 7 หน้า 5 หมวด ภาพรวมเขียนกว้างเป็นมหาสมุทร ไม่เฉพาะเจาะจง แต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ เป็นการวางรากฐานไว้เพื่ออนาคต ที่ตนสะดุดเป็นพิเศษ คือนโยบายหาเสียงก่อนการเลือกตั้งที่ผ่านมา กลับล่องหนหายตัว ไม่มีอยู่ในนโยบายของรัฐบาลชุดนี้หลายเรื่อง จึงขอตั้งคำถามและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในภาพรวม


ดักทางรัฐบาล ไม่ใช่ 3 ข้อจำกัด แต่มี 4 แต้มต่อ


“ประเด็นแรกคำตัดพ้อของรัฐบาลที่ปรากฏชัดเจนในหน้าที่ 2 ระบุว่า รัฐบาลนี้มีข้อจำกัด 3 ข้อ คือ 1.เวลาจำกัด 2.ไม่ได้จัดทำงบประมาณด้วย และ 3. เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย หรือรัฐบาลเป็ดง่อย ที่เกิดขึ้น เพราะการเมืองภาคพิสดารและรัฐบาลนี้จะโทษใครไม่ได้ เพราะเป็นคนเลือกทางเดินนี้ด้วยความเต็มใจ นายกรัฐมนตรีเป็นนักธุรกิจคงบวกลบคูณหารแล้วว่า คุ้ม เพราะกลุ่มที่จะแลกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และแกนนำจัดตั้งรัฐบาลกับข้อจำกัด 3 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น ประการที่สอง คุ้มที่จะเป็นรัฐบาลต่างตอบแทน คือฝ่ายหนึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีและได้จัดตั้งรัฐบาล ส่วนอีกฝ่ายยุบสภาและแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากบอกว่า เวลาเป็นข้อจำกัด อาจใช่ แต่สามารถพูดได้ รัฐบาลนี้ไม่ได้อยู่แค่ 4 เดือน แต่อาจอยู่ถึง 9 เดือน ผมจึงมองว่า รัฐบาลชุดนี้มี 4 แต้มต่อมากกว่าข้อจำกัด คือ 1.) การที่มีผู้มาลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีโดยไม่ขอรับตำแหน่งรัฐมนตรี ทำให้นายกฯ กลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร เพราะมีเก้าอี้รัฐมนตรีให้แบ่งปันกันเหลือเฟือที่สุดยุคหนึ่งในระบบรัฐสภา 2.) รัฐบาลชุดนี้บริหารราชการแผ่นดินปุ๊บ มีเงินมากองไว้ปั๊บ เพราะมีงบฯเหลือจ่ายปี 2568 อยู่อีกประมาณ 60,000 ล้านบาท และงบประมาณปี 2569 รอใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 อีก 3.78 ล้านล้านบาท เฉพาะงบฉุกเฉินที่เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรี มากถึง 98,000 ล้านบาท จึงเป็นแต้มต่อ ไม่ใช่ข้อจำกัด 3.) มีนโยบายสำเร็จรูปเตรียมไว้ให้แล้วโดยผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ หรือ MOA ที่คิดไว้แล้ว 5 ข้อว่า ต้องทำอะไรบ้าง ที่สามารถทำได้ทันที 4.) เหลือคิดเองเพียงแค่ 3 เรื่องคือ นโยบายที่จะนำมาแถลงข่าวรัฐสภาวันนี้, การจัดคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้บริหารนโยบาย, การใช้นโยบายและกำหนดนโยบายที่แถลงรวมถึงการทำนโยบายที่แถลงนี้ให้ประสบความสำเร็จ ส่วน MOA ที่ประชาชนบ่นน้อยใจว่าไม่ได้มีปัญหาของประชาชนในสมการ เข้าใจได้เพราะอาจแย่งชิงตำแหน่งกันนายกรัฐมนตรี อาจหลงลืมว่า ตกหล่นหรือไม่ สำหรับปัญหาประชาชน แต่สุดท้ายเมื่อยอมรับก็ไม่เป็นไรเพราะ MOA เป็นข้อตกลงระหว่างพรรคประชาชน แต่ไม่มีผลผูกพันรัฐสภา หากไม่นำมาบรรจุไว้ในนโยบายที่แถลงวันนี้” นายจุรินทร์ กล่าว

...


ชม รมต.คนนอก ติ โควตา กลุ่มการเมืองหวยล็อก


นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า การจัดคณะรัฐมนตรี(ครม.)เป็นหัวใจสำคัญ และเกี่ยวข้องโดยตรงกับนโยบาย เพราะเป็นผู้กำหนดนโยบายและใช้นโยบาย ซึ่ง ครม. ชุดนี้ มีเก้าอี้รัฐมนตรีแจกจ่ายอย่างเหลือเฟือ มีสองส่วนคือ คนใน มีโควต้ากลุ่มพรรคการเมือง ขอชมว่า นายแน่มาก ที่กล้าตั้งรัฐมนตรี ที่รัฐบาลชุดที่แล้วยังไม่กล้าตั้ง เพราะไม่อยากเสี่ยงซ้ำนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี และคนนอก ที่ขอชมด้วยความจริงใจ หลายตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจัดได้ดี ถูกฝาทุกตัว แต่น่าเสียดายที่มีบางตำแหน่งทำให้ ครม.ชุดนี้กระดำกระด่างไป เชื่อว่านายกรัฐมนตรีรู้อยู่แกใจ ดูได้จากจัดตำแหน่งรัฐมนตรีใน ครม.ชุดนี้ มีการนำคนนอกเปิดตัวด้วยตนเองเกือบทุกคน แต่บางตำแหน่ง กลับไม่กล้าเอาออกมาเปิดตัว และทำลับๆล่อๆ และสุดท้ายหวยล็อกก็ออกมา


ติง 6 นโยบายหลัก ลืมภาคเกษตร-ละเลยต้นตอคอร์รัปชั่น


นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า สำหรับนโยบาย 7 หน้า 5 หมวด ตนขอพูด 6 ประเด็น คือ 1. การตั้งโจทย์ประเทศ ในภาวะ 4 ภัยเศรษฐกิจ ความมั่นคงสังคม และภัยพิบัติธรรมชาติ แต่รัฐบาลตั้งโจทย์ไม่ครบ ที่ต้องมีภัยที่ 5 ที่เป็นต้นตอของภัย คือ ภัยจากการทุจริตคอร์รัปชั่น 2. การแก้ไขรัฐธรรมนูญและทำประชามติ ตนถามนายกฯ ที่ยืนยันว่าศาลให้แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ไม่แตะหมวด 1-2 ซึ่งหากมีร่างรัฐธรรมนูญฉบับใด เสนอเข้าสู่รัฐสภา โดยไม่กำหนดเงื่อนไขว่า ไม่แตะหมวด 1-2 รัฐบาลชุดนี้จะยกมือให้หรือไม่ และที่ประกาศว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 60 (4) (5) เรื่องคุณสมบัติผู้มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูง, ศาล, องค์กรอิสระ ต้องมีคุณสมบัติระบุชัดเจนว่า ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง เป็นหัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญปราบโกง จะเป็นอุปสรรคกับคนโกงและคนเคยโกง ดังนั้น ถ้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ข้อนี้และถอยหลังเข้าคลอง นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจะสนับสนุนต่อหรือไม่ เพื่อให้แก้ไขและเลวลง 3. ปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา ที่รัฐบาลใช้นโยบายการทหาร เศรษฐกิจ การทูต ควบคู่กันไป ทุกคนเห็นด้วยกับการปิดด่าน จนกว่าเขมรจะหมดการเป็นภัยต่อความมั่นคงของไทย และการทูต อะไรที่เราสูญเสียไป รัฐบาลมีนโยบายที่จะเอาคืนกลับมาเป็นของไทยใช่หรือไม่ และเมื่อไหร่ ซึ่งรัฐบาลเขียนชัดเจนว่า จะจัดการบ่อนที่ผิดกฎหมายให้สิ้นซาก และบ่อนเขมรที่ล้ำแดนไทยจะจัดการอย่างไร และเวลา 9 เดือน นานพอที่รัฐบาลจะจัดการและมีคำตอบให้ รวมถึง MOU จะทำประชามติยกเลิก ซึ่งไม่ระบุว่า เป็น MOU 43 หรือ 44 จะทำประชามติเมื่อไหร่ กี่โมง พร้อมกับประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ 4. ปัญหาพืชผลทางการเกษตร 9 เดือน ยาวพอที่จะคลายทุกข์เกษตรกร ทั้งนโยบายหาเสียงข้าวเกวียนละ 12,000 บาท มันสำปะหลังกิโลกรัมละ 4 บาท กลับไม่มีระบุในนโยบาย กลับเขียนกว้างๆ ว่าจะบริหารจัดการราคาสินค้าการเกษตรให้อยู่ในราคาที่เหมาะสม เป็นการบ้านข้อใหญ่ของรัฐบาลนี้คือ ราคาข้าว, มันสำปะหลัง, ปาล์ม, ข้าวโพด รวมถึงราคาผลไม้ ตกต่ำ 5. ที่รัฐบาลระบุจะรักษาหลักนิติธรรมเคร่งครัด ที่มีการระบุว่า เจ้าพนักงาน หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐคนไหนใช้กฎหมายโดยได้ประโยชน์ทางการเมืองถือว่าผิดวินัยร้ายแรง และต้องถูกดำเนินคดีอาญา แปลว่าใครที่ไปช่วยหาเสียงเพื่อประโยชน์ทางการเมือง กลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลนี้จะจัดการโดยเด็ดขาด นอกจากผิดวินัยต้องดำเนินคดีทางอาญาใช่หรือไม่ ถือเป็นนโยบายที่ดี แต่ในภาคปฏิบัติ นโยบายนี้ ต้องใช้กับกรมราชทัณฑ์ด้วยว่า อย่าเอื้อนักการเมืองคนใดให้ปฏิบัติไปตามกฎกติกาโดยเคร่งครัด และกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ที่ทำอยู่ 2-3 คดี ไม่ต้องเอ่ยว่าเป็นคดีใดเพราะรู้กันทั้งประเทศ ถ้ายังเดินหน้าทำนโยบายต่อ และถ้ายังมีนโยบายนี้จะเข้าข่ายทำผิดตามนโยบายหรือไม่ เป็นข้อกังวลของสังคมอยู่


ฝาก 5 คาถาป้องกันรัฐบาลล่ม


และ 6. ผมขอฝากคาถา 5 ข้อ คือ 6.1 อย่าลืม คำถวายสัตย์ปฏิญาณไว้เสมอ ขอให้รัฐบาลระลึกถึง ต้องไม่โกงเพราะจะมีอันเป็นไป ทวนเป็นอาวุธมีไว้รบกับเขมรไม่ใช่มีไว้ทิ้งก่อนยุบสภา 6.2 อย่าใช้ระบบเล่นพรรคเล่นพวก เหมือนบางยุคบางสมัยที่ผ่านมาในการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการ เพราะนอกจากจะทำให้คนดีหมดกำลังใจ และเป็นการทำลายอนาคตของประเทศ 6.3 อย่าเลือกปฏิบัติ ไม่ใช่พูดเพราะรัฐบาลจะทำแบบนั้นแต่อยากฝากไว้ในฐานะผู้แทนราษฎร อย่าเลือกพัฒนาเฉพาะพื้นที่ที่เลือกเรา เพราะพื้นที่ไหนที่ไม่เลือกเราเป็นคนไทยเช่นเดียวกัน เชื่อว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนมาหลายสมัยเข้าใจดี 6.4 อย่าลุแก่อำนาจ ซ้ำรอยอดีตเพราะเราเคยเห็นมาแล้วทั้งอำนาจบริหาร, อำนาจนิติบัญญัติ, ผู้แทนราษฎร รวมถึงวุฒิสภาและองค์กรอิสระ หากเผลอตัวเมื่อไหร่จบไม่สวย และ 6.5 อย่าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม นอกจากจะทำร้ายระบบนิติรัฐแล้ว ยังเป็นของแสลงสำหรับรัฐบาลชุดนี้เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหากทำได้ตนเชื่อว่าท่านจะกลับมา ส่วนจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน และพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ