อภิปรายนโยบายรัฐบาล “อนุทิน” ลุกโต้ ครม.นี้คัดมากับมือ ย้ำกลางสภา 4 เดือนเริ่มนับ 1 ต.ค.นี้ ยุบสภาแน่ 31 ม.ค. 69 ยืมคำพูดนายเก่าแซะ ผู้แพ้จะเห็นปัญหาในทุกทางออก “ชลน่าน” ลั่น 30 บาทรักษาทุกที่ของเพื่อไทย
เมื่อเวลา 10.50 น. วันที่ 29 กันยายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลุกขึ้นตอบคำอภิปรายนโยบายรัฐบาลของ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ว่า ในฐานะที่ตนก็ให้เกียรติเสมอมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และได้ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ตนเคยร่วมรัฐบาลอยู่ด้วย ในคำถามแรกว่ารัฐบาลของตนจะทำได้หรือไม่ ทำเป็นหรือไม่ และทำดีหรือไม่ นายอนุทิน ได้ตอบคำถามว่า “ทำได้ครับ” ก่อนกล่าวต่อไปว่าสิ่งที่ถูกเขียนอยู่ในคำแถลงนโยบายของตน เป็นสิ่งที่ได้ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วว่าพวกเราทุกคนต้องทำได้ เพราะวิธีการทำงานของตน เราจะใช้คำว่าทำได้เร็วและทำเลย ดังนั้นขอชี้แจงให้ สส. และประชาชนได้มั่นใจ
คำว่าทำเป็นหรือไม่ นายอนุทิน ยืนยันว่าทำเป็น เพราะใน ครม. ที่ตนคัดสรรมาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในวิชาชีพทุกด้านที่มีอยู่ แม้กระทั่งผู้ที่ไม่เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อน ตนได้ทำการตรวจสอบประวัติการทำงาน ประวัติการศึกษา พฤติกรรม สามารถยืนยันได้ว่าทุกคนมีคุณสมบัติครบถ้วนในการจะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทยที่รักของเรา และประชาชนผู้ที่ตนคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อตนเองและรัฐบาลนี้
...
ส่วนจะทำดีหรือไม่ ขอยืนยันว่าคนเราถ้ามาถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ใช้เวลาเป็น 10 ปี ก็ต้องถือโอกาสนี้ทำดีที่สุดให้เป็นเกียรติประวัติของประเทศและประชาชน ที่บุคคลซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ ดังนั้นใน 4 ประเด็นที่บอกไว้รวมถึงประเด็นที่บอกว่าจะเสียโอกาส ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่รัฐบาลจะได้แสดงผลงาน เพราะรัฐบาลนี้ตนได้ทำความเข้าใจกับรัฐมนตรีทุกคนแล้วว่าไม่มีคำว่าคนละพรรค นี่คือพรรครัฐบาล ไม่มีขัดแข้งขัดขา ไม่มีความกังวลใดๆ ที่จะเห็นว่าพรรคนั้นทำอะไรแล้วจะได้ความนิยมชมชอบจากพี่น้องประชาชนมากกว่า
“ผมอาจจะโชคดีที่ถูกสอนมาให้เป็นคนใจกว้าง อะไรที่เป็นวงศ์วานว่านเครือ เป็นเครือข่ายการทำงานที่ผมเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ใครทำแล้วประสบความสำเร็จและเป็นประโยชน์ ผมมักจะอนุโมทนาสาธุและชื่นชม และสนับสนุนให้ทุกคนที่ทำงานร่วมกันกับผมได้ประสบความสำเร็จสูงสุด”
ทั้งนี้ แม้จะมีหลายคนพูดว่ารัฐบาลนี้ขาดคนมีฝีมือ ก็ต้องยืนยันว่าตนให้ความเชื่อมั่นว่าทุกคนที่อยู่ในรัฐบาลนี้ตนคัดเลือกเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดนอกจากเรื่องของคุณงามความดีที่แต่ละคนได้มีความไว้เนื้อเชื่อใจจากประชาชนและผลงานความรู้ประสบการณ์ รัฐบาล 4 เดือนของตนเต็มไปด้วยบุคคลที่มีฝีมือ มีความรู้ความสามารถ และประสบความสำเร็จในชีวิต
ส่วนความกังวลเรื่องความโปร่งใส ขอให้นายแพทย์ชลน่านสบายใจ ตนรับฟังทุกคำและจดในความกังวล ยินดีที่จะมาชี้แจง ซึ่งความโปร่งใสเกิดจากการที่จะต้องให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการถูกต้องตามกฎหมาย ถูกต้องตามระเบียบ และที่สำคัญต้องใจกล้าให้ทุกคนมาตรวจสอบได้ และขอยืนยันว่ารัฐบาลของตนจะต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
ส่วนข้อกังวลสุดท้ายที่ว่า ดูแล้วขาดอนาคตประชาธิปไตย นายอนุทิน กล่าวว่า ประชาธิปไตยคือการเคารพเสียงส่วนใหญ่ ไม่เอาแต่ใจมาเป็นข้อตัดสิน แต่มีความเป็นตัวของตัวเอง ตนกลับมองเห็นต่างกับทางนายแพทย์ชลน่าน โดยมองว่าจากนี้ไปรัฐบาลนี้จะวางรากฐานวางแนวทางแบบอย่างที่ดีในการเป็นรัฐบาลที่จะทำให้อนาคตของประชาธิปไตยมีความสดใส อย่างน้อยนายกรัฐมนตรีคนนี้จะไม่มีใครมาบงการได้ และตัดสินใจเอง คิดเอง หารือกับคณะรัฐมนตรีทั้งหมด ในการตัดสินใจทำประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติและประชาชน
“ท่านกล่าวหาว่ารัฐบาลชุดนี้จะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ เวลา 4 เดือนก่อนยุบสภา วันนี้ต้องขออนุญาตหัวหน้าพรรคประชาชน ขอนับวันที่ 1 ตุลาคม คือวันแรก และท่านนับไป 4 เดือน คือ 31 มกราคมแน่นอน ถือเป็นพันธะระหว่างพรรคที่ลงนามกับพรรคประชาชน ผมทราบดีว่าความมุ่งหมายของเราเป็นอย่างไร ผมเห็นพ้องกับทางพรรคประชาชนว่าเมื่อถึงเวลาอันสมควร ซึ่งมันถึงเวลาสมควรแล้วเราต้องคืนอำนาจให้กับพี่น้องประชาชน
ดังนั้น รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ แต่มีติ่งท้ายนิดหน่อยที่อยากจะขอกระทำและทำให้สำเร็จ คือจะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่ต้องเข้ามาแก้ไขความเสียหายของประเทศที่เกิดจากรัฐบาลที่แล้วมา ผมยอมรับในสภาพนี้และคณะรัฐมนตรีของผมอีก 35 คน จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะเรียกความเสียหายและความสูญเสีย ทั้งในเรื่องของเกียรติภูมิของประเทศ เรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องของขวัญกำลังใจ และเรื่องของความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน กลับมาสู่ประเทศไทยและคนไทยให้ได้ในระยะเวลาทำงานที่มีผมมีอยู่ 4 เดือนทำได้ มั่นใจว่าทำได้ เพราะผมได้เตรียมการเรื่องนี้มาพอสมควรแล้ว”
พร้อมขอว่าอย่าเปรียบเทียบ บางทีเมื่อตนเองทำไม่ได้แล้วไปเปรียบกับคนอื่นว่าจะทำไม่ได้เหมือนกัน มันก็ไม่ถูกนัก ขณะที่การพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ส่วนใหญ่ในนโยบายของรัฐบาลนี้ไม่ตรงความต้องการของประชาชน ตนมองต่าง เพราะรัฐบาลนี้ยกเลิกคาสิโน ยกเลิกเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ไม่เอาเงินดิจิทัล 10,000 บาทไปให้ประชาชนเฉยๆ แต่เราใช้วิธีการแบบมีส่วนร่วม ไม่มอมเมาประชาชนด้วยการพนัน ไม่ขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยธุรกิจการพนัน ตนมั่นใจว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นตรงกับรัฐบาลชุดนี้ นี่คือเหตุผลที่พรรคภูมิใจไทยถูกเชิญออกจากรัฐบาล เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เพราะพรรคภูมิใจไทยไม่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลในขณะนั้น
ขณะเดียวกัน นายอนุทิน กล่าวชื่นชมนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ถือเป็นนโยบายที่มีคุณประโยชน์กับคนไทยมหาศาลตราบจนถึงปัจจุบัน แต่โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ เป็นผลงานของตน ทำมาตั้งแต่สมัยอยู่กระทรวงสาธารณสุข 4 ปี ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในการทำงานของรัฐมนตรีหลาย 10 คนที่ผ่านมา เรื่องเหล่านี้ได้ใช้เวลาทั้ง 4 ปี ประสานงานกับหลายหน่วยงาน รวมถึงให้มีโครงการฟอกไตฟรีทั้งหมด ซึ่งตนจะนำกลับมาในรัฐบาลของตนอีกครั้ง ซึ่งนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะต้องทำให้เห็นภายใน 2 เดือนหรือสั้นกว่านั้น ไม่เช่นนั้นตนจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเอง
นายอนุทิน ยังย้ำด้วยว่า ตนเคยอยู่ในรัฐบาลเดียวกับนายแพทย์ชลน่าน พยายามทำงานสนองนโยบายยกเว้นเรื่องที่ต้องไปแตะกับความมั่นคงของประเทศ รวมถึงความเสียหายของประเทศ และคุณภาพของประชาชน ตนจึงต้องตัดสินใจที่จะไม่ร่วมนโยบายนี้ และถือว่าเป็นเกียรติที่ถูกเชิญออกมา นโยบายและการกระทำของรัฐบาลชุดนี้ และรัฐมนตรีทุกคนที่ทำงานอย่างหนัก จะผลักดันทุกนโยบายให้เป็นทางออกของประเทศ
ส่วนการระบุเรื่องใช้เงิน 1,000-2,000 ล้านบาท นายอนุทิน ระบุว่า เป็นตัวเลขอัปมงคล มีความพยายามให้ตัวเลขนี้ มาทำให้คนในพรรคฝ่ายค้านหลายคนสมัยนั้นไขว้เขว แต่ทุกคนเห็นว่าไม่เป็นมงคล เอาไปแล้ว ไปทำให้อนาคตประชาธิปไตยมืดมน คนที่ทำเป็นคนในฝั่งรัฐบาลตอนนั้น ไม่ใช่พรรคภูมิใจไทยแน่นอน
นอกจากนี้ นายอนุทิน ยังย้อนคำพูดเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ที่เคยได้อยู่ในคณะรัฐบาลซึ่งมี นายทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า หลายคนยอมรับที่ท่านทำความเจริญมากมายให้กับประเทศ ซึ่งการประชุมคณะรัฐมนตรีมีแต่การพูดถึงปัญหาให้คณะรัฐมนตรีฟังซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำ ขณะนั้นตนดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีแล้ว ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี นายทักษิณ มักไม่พอใจที่คณะรัฐมนตรีมักนำเอาปัญหามาเป็นข้อแก้ตัว ตนจึงไม่นำมาเป็นข้อแก้ตัวในการทำงาน
เมื่อเป็นเช่นนั้นนายทักษิณจะพูดว่า “loser see problem in every solution” ซึ่งแปลว่า จำไว้นะ ผู้แพ้จะเห็นปัญหาในทุกทางออก และ “winner see solution in every problem” ซึ่งแปลว่า ผู้ชนะจะเห็นทางออกในทุกปัญหา ตนและคณะรัฐมนตรีทั้ง 36 คนเป็นอย่างหลัง “ชนะไม่ชนะไม่รู้ แต่พวกผมเห็นทางออกในทุกปัญหา” ถือเป็นเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของรัฐบาลชุดนี้ และจบการชี้แจงในเวลา 11.11 น.
ต่อมา นายแพทย์ชลน่าน ขอชี้แจงกรณีถูกพาดพิงว่า ขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่พาดพิงมาถึงตน โดยเฉพาะการทำหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรี ท่านบอกว่า 7 เดือนของท่านมีผลงานดีกว่าของตน เราจะไม่มาเถียงกันตรงนี้ดีหรือไม่ดี แต่ประเด็นที่ต้องชี้แจงเพราะถ้าไม่ชี้แจงจะเกิดความเสียหาย นายอนุทิน บอกว่า 30 บาทรักษาทุกที่ อนุทินไม่ใช่ชลน่าน ตนใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ขอชี้แจงในเรื่องนี้ ไม่เข้าใจว่านายกรัฐมนตรีหมายถึงอย่างไร แต่นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา นายเศรษฐา ทวีสิน และนางสาวแพทองธาร ชินวัตรซึ่งตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตนดำเนินนโยบายนี้ตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา
“ท่านพูดถึงท่านนายกฯ ทักษิณ นำสิ่งที่ท่านได้ให้ไว้มาเป็นแนวทางปฏิบัติ และกล่าวชื่อผมในฐานะเลขาฯ รัฐมนตรี ผมอาจจะสติปัญญาไม่ถึง ตีความหมายไม่ถูกว่าผมไปเกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรีได้อย่างไร เพราะเป็นเพียงเลขาฯ รัฐมนตรี ไม่มีสิทธิ์เข้าไปในห้องประชุมรัฐมนตรีเลย”