“หมอชลน่าน” อภิปรายคนแรกของเพื่อไทย ซัดนโยบายรัฐบาลอนุทิน 4 เดือนยุบคดี 4 หายนะ หวั่นสภาสีน้ำเงินรับจบทำรัฐธรรมนูญ ซ้ำรอยฮั้ว สว. ตั้งฉายา “อนุวิน-เนทิน-หนูเน” เสียดายปัดตกนโยบายรัฐบาลก่อน


วันที่ 29 กันยายน 2568 ที่ประชุมรัฐสภา มีการประชุมเรื่องด่วนในวาระการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยในเวลา 10.19 น. นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายเป็นคนที่ 2 ต่อจากผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ว่า ภาพรวมนโยบายทั้ง 4 ด้านของรัฐบาลอนุทินในกรอบเวลา 4 เดือน ไม่อาจนำไปสู่ทางออกของประเทศ แต่จะกลายเป็นปัญหามากกว่า และไม่ใช่ปัญหาธรรมดาแต่เข้าขั้นหายนะ

ประการแรก ต่อประชาธิปไตยไทย รัฐบาลภูมิใจไทยพูดมาตลอดว่าจะผลักดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่สังคมเห็นอาจเรียกว่าเป็นสัญญาลมปาก จึงอยากใช้โอกาสนี้ผลักดันให้พรรคประชาชน ในฐานะพรรคการเมืองที่ร่วมเซ็น MOA ผลักดันและเรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการทำให้วุฒิสภายืนยันว่าจะสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และหากสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นจริงประเทศไทยยังคงต้องถูกแช่แข็งต่อไป

...

ประเด็นที่สอง คือระบบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) แบบใหม่ที่นำมาใช้ครั้งเดียวในปี 2567 จนกลายเป็นต้นตอของปัญหา เพราะออกแบบมาให้การ นัดแนะ ตกลง แลกเปลี่ยนคะแนน ระหว่างผู้สมัครสามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย จนการเกิดกลุ่ม สว. ที่คนทั้งประเทศขนานนามว่าเป็น สว.สีน้ำเงิน หลัง สว.ชุดนี้เข้าปฏิบัติหน้าที่พบว่ามีการลงมติไปในทิศทางเดียวกันซ้ำๆ โดยเฉพาะในประเด็นที่สอดคล้องกับพรรคภูมิใจไทย สะท้อนให้เห็นถึงเครือข่ายทางการเมืองที่ผูกพันกันอย่างเหนียวแน่นระหว่างสภาสูงกับพรรคการเมือง

ที่น่าเป็นกังวลต่อระบอบประชาธิปไตยคือการไต่สวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ระบุว่ามีผู้เกี่ยวข้องรวม 229 คน ในจำนวนนี้เป็นกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยและผู้ใกล้ชิดถึง 91 คน หากการสอบสวนแล้วเสร็จ กกต. มีสิทธิยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคภูมิใจไทยได้ในอนาคต เช่นนี้แล้วเราคงพูดได้เองด้วยซ้ำว่าพรรคภูมิใจไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลนี้คือหายนะต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหายนะต่อระบอบประชาธิปไตยอีกทีหนึ่ง เช่นนี้จะให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นได้อย่างไรว่านโยบายนี้จะไม่ใช่แค่ลมปากมาหลอกลวงประชาชน และทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญยิ่งยุ่งยากมากขึ้น กลายเป็นวิกฤตประชาธิปไตยมากยิ่งไปกว่าเดิม

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวต่อไปถึงหายนะเรื่องความโปร่งใสและหลักนิติรัฐนิติธรรม โดยตั้งข้อสังเกตเรื่องการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีที่มีฐานที่มั่นในบุรีรัมย์ สะท้อนปัญหาเรื่องการใช้ฐานอำนาจท้องถิ่นและเครือข่ายการเมือง มากกว่าการคัดสรรบุคคลตามความสามารถและมาตรฐานจริยธรรมที่ควรเป็น โดยช่วงหนึ่งได้ตั้งฉายารัฐบาลครั้งนี้ว่าเป็น “รัฐบาลอนุวิน-เนทิน-หนูเน”

และหลายคนยังขาดความโปร่งใสและความชอบด้วยกฎหมาย เช่น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่เคยต้องโทษคดียาเสพติดในออสเตรเลีย แม้ศาลรัฐธรรมนูญปี 2564 จะตีความว่าไม่ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายไทย แต่สังคมยังตั้งคำถามถึงมาตรฐานจริยธรรมของการแต่งตั้งเข้ารับตำแหน่ง นับเป็นความขัดแย้งกับแนวนโยบายที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องที่ดินเขากระโดง คดีฮั้ว สว. ที่ยังไม่ได้รับการสะสาง รัฐบาลที่มีประเด็นเรื่องความโปร่งใสเช่นนี้จะบริหารประเทศได้อย่างไร

ประการที่สาม การขาดความสามารถในการบริหารประเทศ ซึ่งหลายปัญหาที่ประกาศจะแก้ไข เป็นปัญหาที่ท่านเคยละเลยและอาจเป็นผู้สร้างปัญหาไว้เสียเอง โดยเฉพาะการเข้ารับตำแหน่งทั้งที่ท่านได้รับสมญานามจากสื่อต่างประเทศว่าเป็น Cannabis King ซึ่งนายอนุทินได้รับในครั้งดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศปลดล็อกกัญชากัญชงออกจากบัญชียาเสพติด เปิดทางให้ประชาชนปลูกและใช้ได้ แม้จะตั้งเจตนารมณ์ว่าเพื่อการแพทย์และสุขภาพ แต่เมื่อดำเนินจริงกลับพบว่ากัญชาถูกใช้ในเชิงสันทนาการอย่างแพร่หลาย ขณะที่กฎหมายควบคุมกลับยังล่าช้า เต็มไปด้วยช่องโหว่ และขาดมาตรการคุ้มครองเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรม สร้างปัญหาทางสังคมและสาธารณสุขที่ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงและต้องแก้กฎหมายต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

ประการสุดท้าย สิ่งที่น่าเสียดายที่สุด คือหายนะทางโอกาสของประชาชน หลายโครงการที่พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์กลับถูกหยุดชะงัก ไม่ว่าจะเป็นบ้านเพื่อคนไทย หรือโครงการ ODOS ที่จะยกระดับแรงงานและอาชีวะ รวมถึงนโยบายดอกเบี้ย 19% หรือแม้กระทั่ง Financial Hub ทั้งหมดนี้ถูกสกัดจนไม่เกิดผล ประชาชนไม่ได้แค่เสียเวลา แต่ถูกขโมยอนาคตและพลาดโอกาสไปต่อหน้าต่อตา

โดยเฉพาะนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ที่ไม่เพียงเป็นนโยบายลดค่าโดยสาร แต่เป็นนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ เชื่อมโอกาสทางเศรษฐกิจของคนชานเมืองกับใจกลางกรุงเทพฯ หากหยุดมาตรการ ประชาชนจะถูกบังคับให้แบกต้นทุนเดินทางสูงขึ้นทันที ขัดกับหลักการลดค่าครองชีพที่รัฐบาลเองเคยประกาศยิ่งรัฐบาลชุดนี้มีอายุเพียงไม่กี่เดือน การตัดสินใจยุตินโยบายที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง ย่อมถูกตั้งคำถามว่าคุ้มค่ากับการสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนหรือไม่

นายแพทย์ชลน่านทิ้งท้าย ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่านโยบายที่รัฐบาลอนุทินประกาศไว้ ไม่ใช่ 4 ข้อ ที่จะพาประเทศไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่เป็นหายนะของประเทศในระยะยาว เป็นการจัดวางอำนาจเพื่อสืบทอดและครอบงำมากกว่าพยายามที่จะสร้างภาพอนาคตของประเทศที่ดูจับต้องได้ เวลา 4 เดือนสำหรับการเมืองอาจจะไม่นาน แต่สำหรับประชาชนที่ต้องทนอยู่กับเศรษฐกิจชะลอตัว รายได้ที่ไม่พอรายจ่าย และคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีขึ้น ระยะเวลา 4 เดือนต่อจากนี้อาจเป็นเวลาที่สูญเสียไปอย่างไร้ความหมาย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่ารัฐบาลนี้ยังไม่สามารถวาดภาพอนาคตที่มั่นคงให้ประชาชนเห็นได้เลย ก่อนจบการอภิปรายในเวลา 10.50 น.