“ธรรมนัส” ลุยพิจิตร พร้อม 4 รมต.พรรคกล้าธรรม เร่งช่วยน้ำท่วม ยืนยันเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาจริง ไม่ใช่ขายฝันช่วงหาเสียงแต่กลับไม่กล้าทำ พร้อมลดต้นทุนผลิต ชี้ โครงการชะลอขายข้าวต้องคัมแบ็ก


วันที่ 28 กันยายน 2568 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึง นายหิมาลัย ผิวพรรณ, นายพรชัย อินทร์สุข กรรมการบริหารพรรคกล้าธรรม และอดีต สส.พิจิตร และนายบัญชา เดชเจริญศิริกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคกล้าธรรม ร่วมลงพื้นที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพิจิตร จ.พิจิตร เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ และผลกระทบจากอุทกภัย พร้อมมอบถุงยังชีพจากมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า เพื่อการกุศลให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย 2,000 ชุด พร้อมมอบเสบียงอาหารสัตว์ ชุดเวชภัณฑ์ และโฉนดเอกสารสิทธิที่ดินทำกิน ส.ป.ก. 4-01 เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนทั้งด้านความเป็นอยู่และการทำการเกษตร

...

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวตอนหนึ่งว่า ปัญหาน้ำท่วมเกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี ตั้งแต่ต้นน้ำภาคเหนือจนถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทำให้หลายจังหวัดตั้งแต่สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา ไปจนถึงกรุงเทพมหานคร ต้องเผชิญความเสียหาย จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเน้นการสร้างแหล่งเก็บกักน้ำทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลาง การปลูกป่าในพื้นที่ต้นน้ำ การซ่อมแซมประตูระบายน้ำ รวมถึงการวางแผนระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องเดือดร้อนซ้ำซาก วันนี้สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือ ช่วยเหลือเร่งด่วน พร้อมวางแผนระยะยาวอย่างยั่งยืน เพราะปัญหานี้ไม่ใช่เพียงชาวพิจิตร แต่เชื่อมโยงตั้งแต่ภาคเหนือจนถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อให้การช่วยเหลือเกิดผลเร็วที่สุด

“ทุกพรรคเวลาจะหาเสียงเลือกตั้งก็จะขายนโยบายขายฝันให้กับพี่น้องประชาชนว่าจะเข้ามาทำนู่นทำนี่ แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในสภากลับไม่กล้าพูดไม่กล้าทำ จะทำอะไรก็กลัวไปหมด ผมไม่ใช่นักการเมืองมืออาชีพ ผมเข้ามาแก้ปัญหาวิกฤติของบ้านเมืองตั้งแต่ปี 2562 ครั้งนี้ก็มาเพื่อแก้ปัญหาที่การเมืองเกิดความแตกแยก เพราะไม่ใช้วิธีการเมืองแก้ปัญหา แต่กลับไปใช้ทางอื่น บ้านเมืองก็ถึงทางตัน แต่โชคดีที่ประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้อง แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล นโยบายก็เปลี่ยน คนที่ต้องรับชะตากรรมก็คือพี่น้องประชาชน”


ร.อ.ธรรมนัส ระบุต่อไปว่า ปัญหาต้นทุนการผลิตภาคเกษตรยังเป็นภาระสำคัญที่ตกอยู่กับเกษตรกรโดยตรง ต้นทุนทุกอย่างอยู่กับกลุ่มนายทุน ทั้งปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และวัตถุดิบอื่นๆ ราคาผลผลิตต่ำ ต้นทุนสูง ทำให้ชาวนาไม่สามารถสร้างรายได้ สิ่งที่กระทรวงเกษตรฯ ต้องแก้ไขคือ ต้องลดต้นทุนการผลิต ทำไมเราถึงไม่ผลิตปุ๋ยเอง เช่น ถ้าปุ๋ยราคากระสอบละ 100 บาท แต่เราทำเองและขายให้กับชาวนากระสอบละ 50 บาทได้ ก็จะสามารถช่วยเกษตรกรลดต้นทุน สิ่งสำคัญเมื่อลดต้นทุนแล้ว การตลาดต้องนำ พูดแต่วลีตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ แต่ไม่ทำเป็นรูปธรรมเลย ตนกลับมาแล้ว และตนจะทำ โครงการชะลอขายข้าวต้องมี ทำเป็นระบบ ไม่มั่ว

“ภายหลังการแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันอังคารที่ 30 กันยายน ผมจะเดินหน้าแก้ปัญหาราคาข้าว ข้าวโพด ยางพารา และลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรกว่า 30 ล้านคนทั่วประเทศ รวมไปถึงมาตรการเยียวยาต่างๆ จะเสนอ ครม. เพื่อขออนุมัติใช้งบกลาง เพื่อแก้ไขปัญหาพี่น้องเกษตรกร ขอให้พี่น้องสบายใจได้ ผมรับผิดชอบคำพูดตัวเอง และจะไปทำงานต่อเพื่อแก้ปัญหาให้กับทุกท่าน”


ขณะที่ นางนฤมล กล่าวถึงกรณีสถานศึกษาที่ถูกน้ำท่วม ว่า กระทรวงศึกษาธิการจะเร่งจัดหามาตรการเยียวยา ทั้งด้านการซ่อมแซมอาคารเรียน อุปกรณ์การเรียน และการดูแลสวัสดิการนักเรียน-ครู เพื่อให้การเรียนการสอนดำเนินต่อได้โดยไม่สะดุด รวมถึงวันนี้ทางอาชีวะก็ได้นำศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it center) มาช่วยเหลือดูแล ฟื้นฟู ซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์การเกษตรที่เสียหาย ตลอดจนเครื่องใช้ในครัวเรือน และอุปกรณ์ประกอบอาชีพต่างๆ ให้ประชาชนที่ประสบอุทกภัยโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ถือเป็นการลดภาระของพี่น้องประชาชน

ทางด้าน นายอรรถกร เผยว่า นอกจากการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยแล้ว กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ได้เตรียมยกระดับแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของพิจิตรให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยจะผลักดันเข้าสู่แคตตาล็อกแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ และสร้างรายได้ให้ชุมชนในอนาคต.