สวนดุสิตโพล สะท้อนความรู้สึกประชาชน “หมดหวังกับรัฐบาลเดิม ขอเริ่มมีหวังกับรัฐบาลใหม่” ชื่นชมรัฐบาลจัดทีมเศรษฐกิจ - นโยบายคนละครึ่งพลัส


วันที่ 28 ก.ย. 2568 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือน กันยายน 2568” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,012 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 23-26 กันยายน 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนกันยายน 2568 เฉลี่ย 4.02 คะแนน เพิ่มขึ้นจากเดือน สิงหาคม 2568 ที่ได้ 3.71 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุด คือ ผลงานของฝ่ายค้าน เฉลี่ย 4.57 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ การแก้ปัญหา ความยากจน 3.59 คะแนน

“อนุทิน- เท้ง” บทบาทเด่น

นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่มีบทบาทโดดเด่นประจำเดือน คือ อนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 55.98

ด้านนักการเมืองฝ่ายค้านที่มีบทบาทโดดเด่นประจำเดือน คือ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ร้อยละ 44.27

ส่วนผลงานฝ่ายรัฐบาล ที่ชื่นชอบประจำเดือน คือ คนละครึ่งพลัส ร้อยละ 46.25

ผลงานฝ่ายค้านที่ชื่นชอบประจำเดือน คือ ผ่านกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ร้อยละ 61.22

ขอเริ่มมีความหวัง

ดร.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิตระบุว่า เดือนกันยายนเป็นช่วงคาบเกี่ยวจากรัฐบาลแพทองธารสู่รัฐบาลอนุทิน ทำให้คะแนนดัชนีการเมืองไทยอาจยังสะท้อนภาพได้ไม่ชัดเจนนัก แต่การที่คะแนนปรับเพิ่มขึ้นทุกด้าน ยกเว้นผลงานฝ่ายค้าน ก็เพียงพอจะสะท้อนความรู้สึกของประชาชนว่า “หมดหวังกับรัฐบาลเดิม ขอเริ่มมีหวังกับรัฐบาลใหม่” โดยเฉพาะการจัดทีมเศรษฐกิจควบคู่กับนโยบายขวัญใจอย่าง “คนละครึ่ง” กลับมา “พลัส” เงินในกระเป๋าให้ประชาชน ซึ่งเป็นการเรียกคะแนนนิยมให้กับรัฐบาลชุดนี้ได้ไม่น้อย

...


จับตามองนายกฯอนุทิน

ด้านอาทิตยา คงมี อาจารย์สังกัดโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า ผลสำรวจ “ดัชนีการเมืองไทย” เดือนกันยายน 2568 ของสวนดุสิตโพล กำลังบ่งบอกว่าดัชนีการเมืองฟื้นตัว และประชาชนก็จับตาการทำงานฝ่ายค้าน-รัฐบาลอย่างใกล้ชิด หลังภาพรวมได้คะแนน 4.02 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ผลงานของฝ่ายค้านยังครองอันดับหนึ่งด้วยคะแนน 4.57 แม้จะลดลงเล็กน้อย และนักการเมืองที่โดดเด่นที่สุดฝั่งรัฐบาลคืออนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งได้รับคะแนนสูงกว่า 55% แสดงให้เห็นว่าประชาชนกำลังจับตามองนายกรัฐมนตรีคนใหม่ การที่คะแนนดัชนีหลายด้านขยับขึ้นพร้อมกัน อาจจะกำลังบ่งบอกว่าคนไทยเห็นสัญญาณเชิงบวกจากบรรยากาศการเมือง 

เศรษฐกิจ-ปากท้องยังน่าห่วง

อย่างไรก็ตาม คะแนนด้านเศรษฐกิจ เช่น ราคาสินค้า ค่าครองชีพ และการว่างงาน แม้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังคาดหวังมาตรการที่ชัดเจนและต่อเนื่อง หากรัฐบาลสามารถผลักดันนโยบายเศรษฐกิจที่จับต้องได้และลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำได้ ดัชนีการเมืองอาจฟื้นตัวต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปี แต่หากปัญหาปากท้องไม่คลี่คลายคะแนนอาจกลับมาลดลง สิ่งที่น่าสนใจต่อไปคือ รัฐบาลและฝ่ายค้านจะตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนอย่างไร เพราะผลลัพธ์ในช่วงปลายปีนี้อาจสะท้อนภาพรวมการเมืองไทยว่าจะเดินหน้าฟื้นตัวหรือกลับเข้าสู่ภาวะผันผวนอีกครั้ง