“เพื่อไทย” เตรียมรับน้องรัฐบาลใหม่ อัดแคมเปญ “4 เดือนยุบคดี กับ 4 หายนะ” ชำแหละ MOA ส้ม-น้ำเงิน ในการอภิปรายนโยบายรัฐบาลภูมิใจไทย ย้ำไม่มีออมมือ ไม่มีอ่อนข้อและไม่ง้อฝ่ายค้ำ
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 28 ก.ย. 2568 ที่พรรคเพื่อไทย นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการเตรียมการอภิปรายรัฐบาลในวาระการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า พรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้านอิสระ จะต้อนรับรัฐบาลใหม่อย่างไม่มีการออมมือ ภายใต้แคมเปญ “4 เดือนยุบคดี กับ 4 หายนะ” เนื่องจากพรรคเพื่อไทย เห็นชัดเจนว่า การตั้งรัฐบาลครั้งนี้แม้จะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเพียงแค่ 4 เดือน แต่กลับมีภารกิจแอบแฝงอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งหายนะ 4 ด้านด้วยกันคือ
หายนะที่ 1 การขาดโอกาส คือการทำให้ประเทศหยุดชะงัก นโยบายโครงการต่างๆ ที่วางรากฐานการลดค่าครองชีพ และเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ซึ่งไม่ใช่เพียงนโยบายลดแลกแจกแถม ถูกรัฐบาลใหม่ปัดตกทั้งหมดเพียงเพราะเป็นนโยบายที่รัฐบาลเพื่อไทยเป็นคนคิด และปูทางไว้
หายนะที่ 2 การขาดคนมีฝีมือ เห็นได้ชัดเจนรัฐบาลนี้ คือรัฐบาลนอมินีบุรีรัมย์ ที่มีรัฐมนตรีปราสาทสายฟ้าคอนเนกชัน ถูกวางตัวให้ทำภารกิจสำคัญจำนวนมาก แม้ในคำแถลงนโยบายจะปรากฏข้อความว่า รัฐบาลจะรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด จะขจัดทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาด หรือทำสงครามกับการพนันออนไลน์ ภัยไซเบอร์ และข่าวปลอม สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ดี และต้องการคนมีฝีมือเข้าไปทำงาน แต่นายกรัฐมนตรีกลับเลือก “คนที่เชื่อมือ และคนใกล้ชิด” เข้าไปทำงานแทน
หายนะที่ 3 การขาดความโปร่งใส เมื่อการจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของรัฐมนตรีสำคัญๆ ที่มีบทบาทอำนาจหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับ สองคดีใหญ่ คือ คดีการบุกรุกที่ดินเขากระโดง และคดีฮั้ว สว. มาจากค่ายบ้านใหญ่สีน้ำเงินแล้ว ความโปร่งใสที่ควรจะเป็นอาจถูกปิดทับด้วยฟิล์มสีดำสนิท และความโปร่งใสไม่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อผู้บังคับกฎเกณฑ์มี ‘เจ้านาย’ ที่ไม่ใช่ประชาชน แต่เป็น ‘นายใหญ่บุรีรัมย์’
...
และหายนะที่ 4 คือ การขาดอนาคตประชาธิปไตย เดิมทีศัตรูคู่ตรงข้ามกับประชาธิปไตยมักแฝงตัวอยู่ในเงามืด และขับเคลื่อนการเมืองอยู่หลังฉาก แต่วันนี้พวกเขาเริ่มปรากฏตัวให้เห็นอย่างเด่นชัดผ่านสถาบันทางการเมืองต่างๆ แบ่งอำนาจและกระจายตัวอยู่ในที่ต่างๆ แต่มีสัญลักษณ์ร่วมกันคือสีน้ำเงิน พวกเขาได้รับการชุบชีวิต จากตั๋วช้างสีส้ม แม้จะมีการอ้างว่า ทำไปด้วยเจตนาที่ดีต่อประเทศชาติ แต่ปลายทางที่รัฐบาลสีน้ำเงินกำลังเดินไป โดยมีพลพรรคสีส้มเป็นผู้ให้กำเนิดนี้ อาจจะนำไปสู่หายนะที่ไม่มีวันย้อนกลับ เป็น 4 เดือนยุบสภา หรือจะเป็น 4 เดือนยุบคดี เป็น 4 นโยบายรัฐบาลอนุทิน หรือจะเป็น 4 ข้อหายนะ?
ลั่นจัดเต็ม ไม่ออมมือ
“พี่น้องประชาชนครับ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเกริ่นเรื่อง เพื่อให้เห็นทิศทางการทำงานในฐานะฝ่ายค้านของพรรคเพื่อไทยเพียงคร่าวๆ เท่านั้น เนื้อหาชุดใหญ่ พรรคเพื่อไทยพร้อมจัดเต็มโดยไม่ออมมือ ไม่ต้องคอยค้ำยันให้รัฐบาล และเราจะใช้เวลา 6 ชั่วโมงอย่างคุ้มค่า เพื่อชี้ให้เห็นปัญหา ผลกระทบ และหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นจากรัฐบาลชุดนี้”
เชื่อส.ส.ร.พท.-ปชน.ถูกคุมกำเนิด
นายดนุพร ยังกล่าวถึงการยื่นญัตติเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หมวด 15 เพื่อเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งขณะนี้มีทั้งร่างของพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย อย่างไรก็ตาม การจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้นั้น เงื่อนไขสำคัญที่สุดที่รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้คือขั้นตอนของการรับหลักการในวาระที่ 1 และ 3 ซึ่งต้องการเสียงเห็นชอบจาก สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3
MOA แค่พิธีกรรม
นายดนุพร กล่าวว่า นั่นหมายความว่า ความพยายามกำหนดแนวทางการได้มาซึ่ง ส.ส.ร. ทั้งของพรรคเพื่อไทย และของพรรคประชาชนเองอาจจะถูกคุมกำเนิด ยิ่งเมื่อพิจารณาจากแนวทางที่พรรคภูมิใจไทยเสนอนั้น พบว่า การได้มาซึ่ง ส.ส.ร. ก็ไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับการเปิดทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมเลย และการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตาม MOA ส้ม-น้ำเงิน ในครั้งนี้อาจจะกลายเป็นเพียงพิธีกรรมที่ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ เพราะในท้ายที่สุดแล้วผู้ที่จะกำหนดว่าใครจะได้เป็น ส.ส.ร. จะมีพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ในคราบ สว. สีน้ำเงิน และพรรคภูมิใจไทยที่กำลังเติบโตขึ้นทุกวันจากการรดน้ำพรวนดิน บำรุงด้วยแร่ธาตุสีส้ม ซึ่งจวนเจียนจะมีสมาชิกถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภาเต็มที ดังนั้น ปลายทางของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจจะไม่ใช่สิ่งดีงามอย่างที่พรรคประชาชนคาดหวัง
เชื่อนำไปสู่หายนะ
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สภาพการณ์นี้จะกลายเป็นการเปิดกล่องแพนโดร่า ที่ปลดปล่อยหายนะออกมา และปิดขังความหวังเอาไว้ด้านใน ฉะนั้นเพื่อเป็นการหยุดยั้งหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น พรรคประชาชนในฐานะที่เป็นผู้ทำคลอดรัฐบาลสีน้ำเงินนี้มากับมือ ไม่เพียงแต่เข้าไปพูดคุยเจรจากับคุณอนุทิน ชาญวีรกุล นายกฯ เท่านั้น แต่ต้องตั้งโต๊ะพูดคุยเจรจาอย่างเปิดเผยระหว่างพรรคประชาชน ในฐานะฝ่ายค้ำรัฐบาล พรรคภูมิใจไทย ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และ สว. ในฐานะตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำการเมืองให้ตรงไปตรงมาอย่างที่เคยป่าวประกาศ จะดีลอะไรกัน จะแลกเปลี่ยนอะไร ก็ให้ประชาชนได้รับรู้ด้วย
และท้ายที่สุด “พรรคเพื่อไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การตัดสินใจของพรรคประชาชน จะไม่สูญเปล่า เนื่องจากนี่คือการเอาอนาคตของประเทศมาเดิมพัน และความรับผิดชอบที่มากขนาดไหนจากพรรคประชาชนก็ไม่เพียงพอ หากความหวังที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กลายเป็นความสิ้นหวังหรือหายนะที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา”