“นายกฯ หนู” ยัน ให้อำนาจกองทัพตัดสินใจสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รับมียั่วยุตลอด เมินยกหูคุย “ฮุน เซน - ฮุน มาเนต” มอบ กต. ใช้ช่องทางการทูต ยืนกรานไม่เปิดด่านจนกว่าภัยจากกัมพูชาจะหมดไป
วันที่ 26 กันยายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ผู้สื่อข่าวถามถึงจุดยืนเรื่อง MOU 2543 และ MOU 2544 ว่า อยู่ในชั้นนโยบาย เพื่อไม่ให้มีข้อขัดแย้งเพิ่มขึ้นอีก ตอนนี้ให้ทางสภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาศึกษาอยู่แล้ว แต่ในส่วนของนโยบายรัฐบาลจะมีการเสนอให้ทำประชามติเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อถามถึงความคิดเห็นที่ว่าทำไมรัฐบาลถึงให้ประชามติ ทั้งที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ไม่ต้องการให้มีความเห็นต่างใดๆ พร้อมขอว่าวันนี้อย่าเพิ่งถามในรายละเอียด
ส่วนกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ฝ่ายกัมพูชามีการยั่วยุในหลายพื้นที่ โดยนายกรัฐมนตรียอมรับว่ามียั่วยุอยู่ตลอดเวลา ฝ่ายกองทัพก็มีความอดทนเป็นอันมาก และมีความพร้อมเต็มกำลัง ไม่ให้มีการล่วงล้ำ ทางด้านคำถามว่าให้กองทัพตัดสินใจได้เลยใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ตอบว่าถูกต้อง ตนได้ยืนยันกับ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ถึงท่าทีของรัฐบาล และท่าทีของตน ซึ่งทั้ง 2 ท่านรับทราบแล้ว เมื่อสักครู่ได้มีโอกาสคุยโทรศัพท์กับ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ก็มีความเข้าใจในการทำงานและการปฏิบัติการตรงกัน ขณะที่เรื่องปฏิบัติการตอบโต้นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รายละเอียดขอให้กองทัพเป็นผู้อธิบาย
...
ผู้สื่อข่าวถามต่อ ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี หลังแถลงนโยบายถือว่าปฏิบัติได้เต็มที่ จะมีการยกหูคุยกับ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา หรือ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาเองหรือไม่เพื่อคลี่คลายปัญหา ไม่เช่นนั้นก็จะยืดเยื้ออยู่อย่างนี้ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เรื่องการรักษาดินแดน รักษาอธิปไตย รักษาความปลอดภัยของประเทศและประชาชน เรื่องนี้เป็นเรื่องของทางกองทัพที่จะมีอำนาจอย่างเต็มที่ เรื่องเปิดด่านย้ำว่าไม่มี จนกว่าความเป็นภัยจากกัมพูชาต่อประเทศไทยจะหมดไป
สำหรับการดำเนินการทางการทูต นายกรัฐมนตรี เผยว่า ได้มีนโยบายให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการต่างประเทศและการทูตอยู่แล้ว ทั้งเรื่องการมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หรือการบริหารสถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง ก็จะต้องหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หากมีมาตรการใดๆ ก็จะใช้ดุลยพินิจในการตัดสินใจเป็นช่วงๆ ไป.