ภาวะเศรษฐกิจไทยมีปัญหาในทุกด้าน โดยเฉพาะปัญหาปากท้อง และหนี้สินครัวเรือน ก็เพราะการเมืองในประเทศฉุดรั้งศักยภาพเศรษฐกิจไทยมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การเติบโตลดลง ความสามารถในการแข่งขันถดถอย ภาคธุรกิจ และครัวเรือนสะสมความเปราะบางเพิ่มขึ้น การแก้ไขปัญหาจากนี้ไป จึงต้องทำอย่างจริงจัง เร่งด่วน และต่อเนื่อง

ประเด็นนี้ ทำให้ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ การเงิน และองค์กรภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการดูแลระบบเศรษฐกิจมหภาคและจุลภาค มีความเห็นตรงกันว่าจะรอความช่วยเหลือจากฝ่ายการเมืองต่อไปอีก คงไม่ได้แล้ว แต่ต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจร่วมกันด้วยการสร้าง “พิมพ์เขียว” ใหม่สู่การผลักดันให้ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ทำได้จริง และเห็นผลโดยมีเอกชนเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน มีภาครัฐเป็นผู้สนับสนุน และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับตัว ขณะที่ภาคการเงิน ช่วยจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ก็ยากที่ประเทศไทยจะรอดปากเหยี่ยวปากกาไปได้ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และการเปลี่ยนแปลง

ทุกองค์กรที่จะทำงานร่วมกันนี้ อยู่ภายใต้ชื่อของ คณะกรรมการร่วมภาครัฐ-เอกชน (กกร.) เบ็ดเสร็จประกอบไปด้วย 6 องค์กรด้วยกัน ได้แก่ หอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.), สมาคมธนาคารไทย, สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.), สภาพัฒน์ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

Reinvent Thailand เป็นแพลตฟอร์ม “พิมพ์เขียว” ที่จะสร้างพลวัตใหม่ที่เป็นแรงจูงใจโดยยึดหลัก "ทำดี ได้ดี” ที่ก่อให้เกิดการปรับตัวของภาคธุรกิจและประชาชนภายใต้ความมุ่งมั่นและการตั้งใจทำงานจริงของทุกฝ่าย

ไม่ใช่เป็นเพียงการขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ แต่ทุกฝ่ายต้องมี Commitment ร่วมกันผลักดันพิมพ์เขียวนี้ไปในแบบ end-to-end ตั้งแต่ระบุปัญหา ออกแบบทางแก้ไข กำหนดตัวเจ้าภาพชัดเจน และขับเคลื่อนแผน ไปจนถึงติดตามประเมินผลด้วย KPI ที่วัดผลได้ชัดเจน เพื่อให้มั่นใจว่าเกิดผลลัพธ์จริง และยั่งยืน

...

“ผยง ศรีวณิช” เป็นหัวเรือใหญ่ผลักดัน “กกร.” ร่วมสร้างพลวัตใหม่

ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารกรุงไทย เจ้าของพิมพ์เขียวฉบับพลวัตใหม่เพื่อการพลิกโฉมหน้าประเทศไทย ขอให้ทุกองค์กรใน กกร.ใช้พิมพ์เขียวนี้เป็นยุทธศาสตร์ในการสร้างมูลค่าทางธุรกิจ ควบคู่ไปกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ที่มุ่งเน้นการวิจัย พัฒนา นวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ ไปจนถึงการจัดสรรทรัพยากรโดยยึดหลัก Doing Well by Doing Good ที่สามารถช่วยกันออกแบบ และขับเคลื่อนนโยบายที่ปฏิบัติได้จริงเป็นตัวชี้วัดการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขัน

ทั้งยังสามารถใช้เป็น “เข็มทิศ” นำทางการพัฒนาประเทศให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าการเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

พิมพ์เขียวฉบับนี้ ระบุต้นตอของปัญหาเศรษฐกิจภายใต้สภาพแวดล้อมที่ “ข้างนอกท้าทาย แต่ข้างในอ่อนแอ”(เป็นมะเขือเผา) ไว้ว่า มีสาเหตุจากภาคธุรกิจ ขาดพลวัต และนวัตกรรม ธุรกิจรายใหม่เกิดขึ้นน้อยลง บริษัทอายุน้อย (อายุน้อยกว่า 5 ปี) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการขยายตัวของรายได้ภาคธุรกิจโดยรวมมีส่วนแบ่งตลาดลดลง เผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ทั้งจากสินค้านำเข้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐาน และอำนาจต่อรองของธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น การถูกลอกเลียนแบบสินค้า การถูกยืดเครดิตเทอมเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และการผูกขาดในตลาดจากการควบรวมกิจการ

นอกจากนี้ เศรษฐกิจนอกระบบของไทยยังมีขนาดใหญ่ ธุรกิจไทยประมาณ 78% ของธุรกิจทั้งหมดอยู่นอกระบบ ในขณะที่ธุรกิจ และบุคคลธรรมดาที่ยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มมีจำนวนเพียง 700,000 กว่าราย จากจำนวนธุรกิจกว่า 3.27 ล้านราย ส่วนแรงงานกว่า 50% เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ แรงงานภาคเกษตรอยู่นอกระบบ โดยผู้เสียภาษีเงินได้ มีสัดส่วนเพียง 10% ของกำลังแรงงานทั้งหมด

สิ่งนี้สะท้อนว่า ประโยชน์จากการอยู่ในระบบไม่คุ้มกับต้นทุนที่ต้องจ่าย!

ส่วนของภาคประชาชน จะพบว่า คุณภาพแรงงานไทยไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจยุคใหม่ แม้มีการลงทุนด้านการศึกษาประมาณ 800,000 ล้านบาทต่อปี (สูงถึง 5% ของ GDP) แต่คุณภาพกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง คะแนน PISA (มาตรฐานวัดคุณภาพการศึกษาสากล) ก็ลดลงต่อเนื่องจนอยู่ระดับต่ำสุดในทุกวิชา ในช่วงกว่าสองทศวรรษ และต่ำกว่าเพื่อนบ้านด้วย

ขณะที่ คะแนน ONET (มาตรฐานวัดคุณภาพการศึกษาของไทย) ลดลง โดยที่ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษายังคงสูง นักเรียนในกรุงเทพฯ ทำคะแนนได้สูงกว่าจังหวัดอื่นๆ ในทุกวิชา นอกจากนี้การพัฒนาทักษะตลอดชีวิตยังไม่เข้มแข็ง แรงงานไม่สามารถ upskill หรือ reskill ทักษะใหม่ได้

ประเทศไทยยังมีปัญหา “สมองไหล” ที่ทำให้คนเก่ง และคนรุ่นใหม่เลือกที่จะย้ายไปต่างประเทศ เพราะระบบดึงดูดผู้มีปัญญา หรือมีความสามารถพิเศษ (talent) จากต่างประเทศ ยังไม่มีกำลังมากพอ! การเมืองมีความไม่แน่นอนสูง ราชการปรับตัวช้า กฎเยอะ ทุจริตแยะ

สำหรับภาครัฐ การเมืองมีความไม่แน่นอนสูง ระบบราชการปรับตัวช้า เป็นคอขวดที่สำคัญต่อการสร้างบรรยากาศการลงทุน (Investment climate) ที่มีพลัง ประสิทธิภาพ ทั้งในด้านกรอบการบริหาร และกฎหมายธุรกิจ แต่ในระยะหลังๆ ระบบราชการไทยมีอันดับแย่ลงต่อเนื่อง กฎระเบียบก็มีจำนวนมาก ซ้ำซ้อน ล้าสมัย

การทุจริตคอร์รัปชันยังคงฝังรากลึกในระบบเศรษฐกิจไทยด้วย ในขณะที่การเมืองไทยขาดเสถียรภาพ มีผลทำให้นโยบายอุตสาหกรรม และการค้าขาดทิศทางที่ชัดเจน

นโยบายเศรษฐกิจส่วนใหญ่เน้นยังการอุดหนุนแบบไม่มีเงื่อนไข และหวังผลระยะสั้น เช่น มาตรการเงินโอน และการดูแลราคาสินค้า โดยคิดเป็น 1 ใน 5 ของงบประมาณด้านเศรษฐกิจในปี 2567 ซึ่งนอกจากจะสร้างความเคยชินแล้ว ยังบิดเบือนแรงจูงใจในการพัฒนาศักยภาพด้วย

ในกรอบการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ภาครัฐต้องเร่งดำเนินมาตรการหลายด้าน อาทิ มาตรการเร่งด่วนเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ เพื่อลดผลกระทบของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ รวมถึง Import flooding หรือการนำเข้าที่มากเกินไป ล้นตลาด รวมถึงมาตรการทางการเงินเฉพาะจุดที่ช่วยรองรับแรงกระแทกประคองธุรกิจในช่วงเปลี่ยนผ่านไปได้

ว่ากันตามจริง ภาคเอกชนมีความเห็นที่ชัดเจนว่า การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยไม่อาจล่าช้าได้อีกต่อไป ศักยภาพของเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวและการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง ซึ่งจำเป็นต้องเริ่มดำเนินการโดยเร่งด่วน และผลักดันอย่างต่อเนื่อง

อย่างที่กล่าวไว้แต่ต้นว่า หัวใจสำคัญของการปรับตัวที่ได้ผลสัมฤทธิ์ คือกรอบกระบวนการทำงานที่เกิดจากความร่วมมือ และการสอดประสานงานกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่แนวทางการตอบโจทย์เศรษฐกิจที่ปฏิบัติได้จริง และยั่งยืน โดยภาคเอกชนเป็นหัวหอกหลักในการปรับตัว แสวงหาโอกาสใหม่ ๆ และสร้างนวัตกรรมเพื่อให้ประเทศไทย

ธุรกิจขนาดใหญ่ ควรช่วยสนับสนุนธุรกิจ SMEs ที่เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ ผ่านการถ่ายทอดความรู้ด้านการเงิน การตลาด และเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

ส่วนภาคการเงินมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดสรรทรัพยากรให้กับธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นและได้รับต้นทุนที่สอดคล้องกับความเสี่ยง ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีในระบบการเงิน หรือกลไกที่ช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิต เช่น การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเงินในการรับบริการทางการเงิน (Open data) และกลไกการค้ำประกันเครดิตผ่าน National Credit Guarantee Agency (NaCGA)

ขณะที่ภาครัฐมีหน้าที่สำคัญในการสนับสนุน และเสริมสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการประกอบธุรกิจ โดยช่วยลดขั้นตอน และลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจ ผ่านการแก้กฎระเบียบของภาครัฐให้เป็นการใช้งานที่ง่าย และการปรับปรุงบริการภาครัฐให้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

รวมถึงการขจัดปัญหาคอร์รัปชัน การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับภาคเอกชนในการต่อยอด ตลอดจนการสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจอย่างเหมาะสม เช่น มาตรการภาษี และสิทธิประโยชน์ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เป็นต้น

ภายใต้พิมพ์เขียวฉบับนี้ ประเทศไทยต้องรอด ไม่ว่าการเมืองจะอยู่ในมือใคร