หัวหน้าพรรคประชาชน เตรียมใช้เวทีแถลงนโยบายรัฐบาล ตรวจสอบ “ครม.อนุทิน 1” มีคดีติดตัว เมินพรรคเพื่อไทย ประกาศตัวไม่ร่วมวิปฝ่ายค้าน ยัน อยากให้ทำงานร่วมกัน ไม่อยากให้ค้านกันเอง ชี้ 4 เดือนต่อจากนี้ คือโอกาสเปิดประตูสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
วันที่ 20 ก.ย. 2568 ที่ โรงแรมรอยัล ริเวอร์ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี คณะรัฐมนตรี (ครม.) ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่พบว่าบางคนถูก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ชี้มูลคดีทุจริต ว่า จะต้องมีการเสนอข้อมูลอยู่แล้ว ซึ่งวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภา พรรคประชาชนเตรียมผู้อภิปรายไว้แล้ว ซึ่งจะมีการอภิปรายถึงคุณสมบัติและความเหมาะสมของรัฐมนตรีแต่ละคน รวมถึงการดำเนินนโยบายรัฐบาล ในช่วงตลอดระยะเวลา 4 เดือน ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ อีกทั้งจะดูเรื่องแผนการทำงาน ที่รัฐบาลต้องปฏิบัติตาม MOA ซึ่งพรรคประชาชนเตรียมกรอบเนื้อหาที่จะอภิปรายไว้แล้ว
ส่วนการอภิปรายนโยบายรัฐบาลของพรรคประชาชน จะแบ่งเนื้อหาอภิปรายกับพรรคเพื่อไทยอย่างไร เพราะพรรคเพื่อไทยประกาศเป็นฝ่ายค้านอิสระ จะไม่เข้าร่วมวิปฝ่ายค้านกับพรรคประชาชน นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ต่างคนต่างทำหน้าที่ได้อยู่แล้ว การที่ไม่ร่วมรัฐบาลก็ถือว่าเป็นฝ่ายค้าน เพราะฉะนั้นพรรคเพื่อไทยก็ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ คงไม่มีปัญหาอะไรในสภา
เมื่อถามว่าจะมีการแบ่งเนื้อหาการอภิปรายอย่างไรเพื่อไม่ให้ซ้ำกัน เนื่องจากไม่ได้มีการประสานงานกัน นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การทำงานภายในวิป ก็จะคุยตกลงเรื่องการแบ่งเวลา ส่วนเนื้อหาคงไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวแต่ละพรรค
ส่วนการที่พรรคเพื่อไทยจะไม่เข้าไปร่วมวิปฝ่ายค้านจะไม่ทำให้เป็นปัญหาในการทำงานหรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ถ้าตามกฎหมาย ตอนนี้พรรคเพื่อไทยยังอยู่ในสถานะเป็นรัฐบาล เพราะมีตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่จริง ๆ ในทางปฏิบัติ ตนอยากให้พรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ ซึ่งเคยสื่อสารไปแล้วหลายครั้ง ตราบใดที่พรรคเพื่อไทยยังคงทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็งอยู่ การจะกำกับทิศทางรัฐบาลภูมิใจไทยให้เดินหน้าตามกรอบ MOA ก็จะมีความเป็นไปได้เกือบ 100% ดังนั้นการทำงานตอนนี้ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ไม่อยากให้เอาอุปสรรคอื่นๆอะไรมาขวางกั้น
...
ส่วนนายณัฐพงษ์จะต้องไปพูดคุยกับพรรคเพื่อไทยเองหรือไม่ ในฐานะเป็นผู้นำฝ่ายค้านนั้น ว่า พูดคุยประสานงานกันอยู่แล้ว ตนไม่อยากให้มีการแสดงท่าที ว่าไม่อยากจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ ไม่อยากให้กลายเป็นว่าฝ่ายค้านมาค้านกันเอง และยังยืนยัน การหาทางออกให้ประเทศไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย หรือพรรคประชาชน ก็ต้องทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ในสภา
เมื่อถามว่าในฐานะผู้เป็นอาวุโสน้อยกว่า จะต้องไปคุยกับพรรคเพื่อไทยก่อนหรือไม่ นายณัฐพงษ์ระบุว่า ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องให้ใครเข้าไปหา หรือไปพูดคุยกับใครก่อน เพราะในสภามีกลไกของวิป ไม่อยากให้มีใครต้องถือทิฐิ เราจะต้องเดินหน้าไปในทิศทางที่ดี ถ้าจะมีการยุบสภาภายใน 4 เดือน และเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญประชาชนก็จะได้ประโยชน์
ส่วนที่มีภาพนายอนุทินไป รับประทานอาหารร่วมกันกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี มองว่ามีนัยยะทางการเมืองอย่างไร นายณัฐพงษ์กล่าวว่าเป็นเรื่องปกติที่จะมีการพูดคุยกัน ส่วนการโพสต์ภาพออกมา ต้องการจะสื่ออะไรหรือไม่นั้น ต้องไปถามนายอนุทิน ตนคงตอบแทนไม่ได้ ว่าจุดประสงค์การนัดทานอาหาร และโพสต์ภาพออกมาแบบนี้ มีวัตถุประสงค์อะไร
ส่วนกังวลใจหรือไม่ ว่าการโพสต์ภาพแบบนี้จะมีนัยยะ นายณัฐพงษ์ ยืนยันไม่กังวลใจ และให้กลับมามองที่หน้ากระดานการเมืองจำนวนเก้าอี้สส. และตอนนี้ไม่มีความเป็นไปได้อื่นใด ที่จะเกิดรัฐบาลเสียงข้างมาก ถ้าพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็ง ก็จะสามารถรักษาเสียงในพรรคให้อยู่ร่วมกัน ซึ่งตอนนี้อาจจะมีข่าวที่ปรากฏออกมาว่านายอนุทินจะดูดเสียงสส.มาอยู่ร่วมกับพรรคภูมิใจไทยมากยิ่งขึ้นนั้น ย้ำว่าตนไม่ได้มีข้อห่วงใยอะไร หากฝ่ายค้านทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง เราก็จะกำกับทิศทางรัฐบาลเสียงข้างน้อยให้เป็นไปตาม MOA ได้
นายณัฐพงษ์ยังกล่าวถึงหน้าตา ครม. ของนายอนุทิน ว่า มีข้อห่วงใยหลายคน และหลังแถลงนโยบายแล้ว ก็จะเป็นหนึ่งหมุดใหม่แรกที่เราจะทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างเต็มที่
4 เดือนต่อจากนี้ คือโอกาสเปิดประตูสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
นอกจากนี้ นายณัฐพงษ์ ยังโพสต์เฟซบุ๊กว่า 4 เดือนต่อจากนี้คือโอกาสที่สำคัญที่สุด เปิดประตูสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หาทางออกจากมรดกคณะรัฐประหาร
วันนี้ผมมีโอกาสไปร่วมวงเสวนาหัวข้อ “รัฐบาลใหม่กับทิศทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรผู้บริหารยุทธศาสตร์การสื่อสารมวลชนระดับสูง (บยสส.) ของสถาบันอิศรา ได้แลกเปลี่ยนความเห็นและบอกเล่าความตั้งใจของผมและพรรคประชาชน ในการตัดสินใจใช้อำนาจที่เรามีในฐานะพรรคการเมืองที่มีเสียงมากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ
ประเด็นสำคัญที่ผมเน้นย้ำ คือสังคมไทยวันนี้ไปไกลกว่านี้ไม่ได้ ถ้าเราไม่แก้ปัญหาการเมือง ซึ่งวันนี้ทุกคนคงเห็นตรงกันว่าหนึ่งในต้นตอสำคัญของปัญหาการเมืองมาจากรัฐธรรมนูญ 2560 อันเป็นมรดกของคณะรัฐประหาร ดังนั้น การตัดสินใจของพรรคประชาชนในการโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 แม้ไม่ใช่ทางเลือกที่สมบูรณ์แบบ แต่เราเชื่อว่านี่คือ “ความเป็นไปได้” ที่มีอยู่ภายใต้ข้อจำกัด ในการนำไปสู่การยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน พร้อมกับเปิดประตูสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ที่ผ่านมาหลายคนมักถามว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เกี่ยวข้องกับปัญหาปากท้องหรือคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างไร ผมขอยกตัวอย่างที่ย้อนไปเพียง 2 ปีก่อนหน้านี้ หลังการเลือกตั้ง 2566 ชัดเจนที่สุดว่ารัฐธรรมนูญเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เราไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชนที่สะท้อนผ่านผลการเลือกตั้งได้ และเมื่อมีรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย นายกรัฐมนตรี 2 คนก็ต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งพรรคประชาชนยืนยันมาตลอดว่าเราไม่เห็นด้วยกับการใช้ “นิติสงคราม” เช่นนี้
ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ทุกคนได้เห็นแล้วว่าไม่ว่าใครขึ้นมาเป็นนายกฯ หรือพรรคไหนจะขึ้นมาเป็นแกนนำรัฐบาล นายกฯ และรัฐบาลนั้นไม่สามารถมีสมาธิในการแก้ปัญหาของประเทศและประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังไม่นับว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ที่เดิม
ดังนั้นการทำข้อตกลง (MOA) ของพรรคประชาชนจึงต้องการผ่าทางตันของประเทศ เป็นข้อเสนอแบบ “ปาท่องโก๋” ที่จะทำให้การยุบสภาเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนได้เลือกรัฐบาลที่มีความชอบธรรมทางการเมืองเข้ามาแก้ไขปัญหา ขณะเดียวกัน จะเปิดทางสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุด ได้ร่วมกำหนดกติกาสูงสุดของประเทศ
เหตุผลที่ทำให้ผมมั่นใจว่าพรรคการเมืองต่างๆ จะเดินหน้าภารกิจนี้ไปกับพรรคประชาชน เพราะตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าถนนทุกสายมุ่งสู่การเลือกตั้ง ทุกพรรคย่อมต้องการคะแนนเสียงจากประชาชน ซึ่งสิ่งสำคัญและเป็นพื้นฐานที่สุดที่จะทำให้พรรคการเมืองได้รับความไว้วางใจจากประชาชน คือนักการเมืองต้องรักษาสัจจะ ไม่ตระบัดสัตย์
ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โมเดลการได้มาซึ่ง สสร. นั้น จุดยืนของพรรคประชาชนต้องการให้ สสร. ยึดโยงกับประชาชนมากที่สุดภายใต้กรอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ พรรคการเมืองต่างๆ จะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15 เข้าสู่สภาฯ และเราหวังว่าการพิจารณาวาระ 1 จะเกิดขึ้นก่อนสิ้นเดือนกันยายน
วันนี้ผมจึงขอยืนยันอีกครั้ง การตัดสินใจของพรรคประชาชนครั้งนี้ ไม่ได้ตั้งอยู่บนการแสวงหาความนิยมหรือผลประโยชน์ส่วนพรรค แต่ตั้งอยู่บนการหาทางออกให้กับประเทศ เอาประเทศเป็นตัวตั้ง
ผมหวังว่าช่วงเวลาต่อนี้จากนี้ ทุกฝ่ายในสังคมไทยจะช่วยกันผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการรักษาสัญญาตาม MOA ทำให้ภารกิจที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ในช่วงที่ผ่านมา สามารถเกิดขึ้นได้ ทำให้ “การเมืองแห่งความเป็นจริง” กับ “การเมืองแห่งความเป็นไปได้” มาบรรจบกันในคูหาเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น นี่คือโอกาสที่เราต้องช่วยกันทำให้ดีที่สุดครับ