“พีระพันธุ์” พร้อมนำทัพรวมไทยสร้างชาติสู้ศึกเลือกตั้ง ย้ำ 2 ปีพิสูจน์แล้ว ชวนคนอุดมการณ์เดียวกันทำงานเพื่อชาติ-ประชาชน ซัดคนปล่อยข่าวโง่ อยากทำลายพรรค ชี้ นายกฯ ต้องมาด้วยความมีศักดิ์ศรี


เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 18 กันยายน 2568 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงทิศทางการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ว่า ขอยืนยันว่าพร้อมเดินหน้าในการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อเป็นแม่ทัพของพรรครวมไทยสร้างชาติในการทำงานทางการเมืองต่อไป ส่วนกระแสข่าวเลือดไหลออกจากพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น วันนี้ยังไม่มีเลือดไหลออกจากพรรค เพราะทุกคนยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ และยังมีผู้สนใจมาสมัครสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน

ขณะเดียวกัน นายพีระพันธุ์ ยังได้เปิดเผยถึงจุดยืนของตนเองเกี่ยวกับการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ว่า หลังจากที่มีการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ การเมืองของไทยก็มีพัฒนาการทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญก็คือมีการพยายามนำพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งพรรครวมไทยสร้างชาติได้ประกาศตั้งแต่ต้นว่าไม่สามารถร่วมมือด้วยได้ เนื่องจากมีอุดมการณ์ทางการเมืองและแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก และมีการใช้วิธีการให้พรรคการเมืองนั้นมาลงมติสนับสนุนผู้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีโดยไม่ได้เป็นการร่วมรัฐบาล แต่เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน ตนเห็นว่าแนวทางเช่นนี้ไม่ถูกต้องทางการเมือง เพราะจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเบี้ยล่างทางการเมืองของพรรคการเมืองอื่นที่ไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล วิธีการดังกล่าวอาจเป็นการผิดกฎหมายพรรคการเมืองในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์

...

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อไป จาก 2 เหตุผลข้างต้น ทำให้ตนมีความเห็นว่าไม่สามารถลงคะแนนเสียงสนับสนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีได้ในขณะนั้น ทั้งที่โดยส่วนตัวตนเคารพและรักนายอนุทินมาก คิดว่าเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ แต่วิธีการในการจัดตั้งรัฐบาลในรูปแบบนี้ไม่ใช่วิธีทางที่ถูกต้อง ต่อมาทางพรรคเพื่อไทยก็ได้มีการติดต่อในการเพิ่มเสียงสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ด้วยแนวทางแลกเปลี่ยนผลประโยชน์แต่ไม่ร่วมรัฐบาลนั้น ตนยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ดังนั้นจึงมีความเห็นว่าถ้าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลด้วยการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ก็ไม่สามารถสนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เลย

“สำหรับผมคิดว่านี่เป็นวิธีการทางการเมืองที่ไม่ถูกต้อง และจะทำให้รัฐบาลกลายเป็นเบี้ยล่างของพรรคการเมืองอื่นซึ่งไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งในทางการเมืองเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นและผมรับไม่ได้”

โหวตนายกฯ ไร้มติพรรค เปิดกว้างเอกสิทธิ สส.

ในส่วนการบริหารจัดการพรรคจะต้องมีการประชุมกรรมการบริหารพรรค เบื้องต้นตนได้มีการหารือกับผู้บริหารระดับสูงของพรรคว่า หากแนวทางเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องทางการเมืองเช่นนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติก็ไม่สามารถร่วมรัฐบาลได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม โดยก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคร่วมกับ สส. พรรค ตนมองว่าเมื่อการเมืองเดินมาถึงสถานการณ์เช่นนี้น่าจะจบลงด้วยการยุบสภา จึงยังไม่มีมติของพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นเพียงการหารือแลกเปลี่ยนความเห็นกันเท่านั้น

ต่อมาเมื่อปรากฏว่าการยุบสภาไม่สามารถทำได้ ประกอบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ในส่วนของพรรคหลายคนสอบถามและแสดงความคิดเห็นว่า กก.บห.พรรครวมไทยสร้างชาติ ควรมีมติที่ชัดเจนเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการของ สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ จึงมีการเชิญประชุม กก.บห.พรรคอย่างเร่งด่วน ในวันพุธ (3 กันยายน 2568) ก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี

นายพีระพันธุ์ เปิดเผยต่อไปว่า ในการประชุม กก.บห.พรรคครั้งนั้น 3 คนเห็นด้วยกับแนวทางของตน แต่มี 1 คนเห็นว่า หากนายอนุทินยืนยันว่าจะไม่มีการแตะต้องมาตรา 112 และยืนยันว่าจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 และหมวด 2 ควรจะต้องสนับสนุน ส่วนอีก 2 คนเห็นว่าควรให้เป็นเอกสิทธิ์ของ สส. ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วหากมีมติทางใดทางหนึ่งจะทำให้เกิดปัญหาในพรรคได้ จึงไม่มีการพูดถึงมติของกรรมการบริหารพรรค แต่แจ้งผลความเห็นของ กก.บห.พรรคว่ามีความเห็นกี่แนวทางอย่างไรบ้าง และให้เป็นเอกสิทธิ์ดุลพินิจของ สส. โดย สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ลงมติเลือกนายอนุทิน 33 เสียง และไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง พร้อมยืนยันว่าในพรรคไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น และทุกอย่างก็เดินหน้าตามกระบวนการต่อไป

ซัดคนปล่อยข่าวอยากเป็นนายกฯ “โง่-อยากทำลายพรรค”

นายพีระพันธุ์ กล่าวต่อไปถึงกระแสข่าวว่าพรรครวมไทยสร้างชาติถูกซื้อ ว่า “ผมไม่ทราบครับ แต่ผมไม่โดนซื้อเด็ดขาด” ส่วนกรณีที่มีการโจมตีว่าตนหวังตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่มีการหารือในการเสนอชื่อของตนในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะหากคิดในทางการเมืองแล้วเมื่อพรรคมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว แต่ไปดึงแคนดิเดตทางการเมืองจากพรรคอื่นมาแทน แบบนี้ในทางการเมืองจะเสียหายเป็นอย่างมาก

“ความคิดแบบนี้ผมว่าวิเคราะห์แบบตื้น แต่ไม่ได้รู้หรอกว่าในทางการเมืองมันเป็นไปไม่ได้ เหมือนพรรครวมไทยสร้างชาติเรามีบัญชีรายชื่อคนเป็นนายกฯ จะเอาไปพรรคอื่นมาเสนอ แล้วพรรคเราจะใส่ไว้ทำไม ถูกไหม และในทางการเมืองอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าเราจะได้รับการเลือก มันต้องมาด้วยความมีศักดิ์ศรี ลักษณะแบบนี้ผมรู้สึกว่าไม่มีศักดิ์ศรีเลย ถึงจะเป็นพรรคร่วม ก็ต้องเอา(แคนดิเดต)จากบัญชีของพรรคหลัก เขาจะมาเอาบัญชีของพรรคร่วมเป็นไปได้ยังไง คนปล่อยข่าวก็มี 2 อย่าง อย่างที่ 1 คือไม่รู้จริง โง่ อย่างที่ 2 คืออยากทำลายพรรค อยากทำลายผม ก็แค่นั้น ไม่มีอะไร”

ทางด้านคำถามที่พรรครวมไทยสร้างชาติเผชิญแรงเสียดทานและกระแสของสังคมเยอะมากคิดว่าเพราะอะไร นายพีระพันธุ์ ตอบว่า พรรคการเมืองก็เหมือนกับชีวิตมนุษย์ ทุกคนเกิดมาก็ต้องมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้น ไม่มีใครที่ชีวิตราบรื่นมีแต่ความสำเร็จมีแต่ความสุข เพียงแต่ว่าแต่ละคนเมื่อเจอปัญหาแล้วท้อไหม พรรครวมไทยสร้างชาติไม่ใช่เป็นพรรคแรกที่เพิ่งเกิดและเจอปัญหา แต่พรรคจะผ่านปัญหาทุกอย่างไปได้ ส่วนตัวไม่เคยท้อ เพราะความจริงในชีวิตก็เจอปัญหามาเยอะอยู่แล้ว นี่ก็เป็นอีกแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิต แนวทางการทำงานของตนคือทำทุกอย่างให้ดีที่สุดทำให้เต็มที่ที่เราทำได้ ทำไม่สำเร็จก็ต้องยอมรับว่ามันทำไม่สำเร็จ แต่ว่าทำให้ดีที่สุด ทำให้มากที่สุด ทำให้เต็มที่ ได้เท่านี้ก็เท่านี้ จะไม่ติดยึดกับคำพูดคนอื่น เพราะคนอื่นไม่รู้ดีเท่าตัวเรา ตนติดยึดกับตัวเราเองว่าเราทำดีหรือยัง เราทำถูกต้องไหม เราไม่มีทางทำให้คนทุกคนถูกใจ ไม่มีวันทำให้ทุกคนพอใจ แต่เราทำในสิ่งที่ต้องทำหรือเปล่า ทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมืองกับส่วนรวมหรือเปล่า ตนคิดว่าแนวทางการทำงานแบบนี้ที่ทำให้เดินหน้ามาจนถึงวันนี้ได้

เดินหน้าดันกฎหมายพลังงานต่อ

ในส่วนของการแก้ไขเรื่องของพลังงาน นายพีระพันธุ์ ระบุว่า เรื่องการจัดการกับปัญหาพลังงานสะท้อนถึงแนวทางการทำงานของตนเป็นอย่างดี พร้อมยกตัวอย่างค่าไฟ เมื่อเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ค่าไฟอยู่ที่ 4.70 บาทต่อหน่วย แต่ในวันนี้ค่าไฟเหลือเพียง 3.94 บาทต่อหน่วย และไม่มีการปรับขึ้นค่าไฟ ขณะที่ค่าแก๊สก็ไม่ได้ปรับขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากวิธีการทำงานของตน คือทำให้ดีที่สุด ทำให้เต็มที่ สุดท้ายแล้วได้เท่าไรเท่านั้น ซึ่งหากรัฐบาลเดินหน้าต่อไปจนครบวาระตนยืนยันว่าราคาน้ำมันจะสามารถควบคุมได้ และประเทศไทยจะมีคลังน้ำมันสำรองของประเทศ ที่เป็นของรัฐเพื่อความมั่นคง ไม่ใช่ของเอกชน

ทางด้านความคืบหน้ากฎหมายส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ตนหวังว่ารัฐบาลชุดต่อไปจะเดินหน้าต่อ ส่วนกฎหมายควบคุมราคาน้ำมันเสร็จเรียบร้อย ขณะที่กฎหมายคลังน้ำมันนั้นใกล้แล้วเสร็จ ซึ่งกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้จะต้องเสนอคู่กันเพื่อปรับโครงสร้างราคาน้ำมันได้ทั้งกระบวนการ แม้จะไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้วแต่จะต้องมีการเดินหน้ากฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ต่อโดยผ่านกลไกของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเสนอในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ด้วยเงื่อนไขการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่จะต้องยุบสภาใน 4 เดือนนี้ คาดว่าไม่น่าจะสำเร็จได้ด้วยสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้

พร้อมนำทัพเลือกตั้ง ใครหวังประโยชน์ส่วนตน อยู่พรรคนี้ไม่ได้

นายพีระพันธุ์ ยังกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งหลังการยุบสภาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 4 เดือนนี้ ว่า เมื่อเป็นพรรคการเมืองจะต้องมีความพร้อมในการลงรับเลือกตั้งตลอดเวลาอยู่แล้ว ซึ่งต้องมีการเตรียมความพร้อมหลายด้าน โดยเฉพาะผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร พรรคจะพยายามหาคนที่มีอุดมการณ์ แนวทางทำงานเพื่อประชาชน ช่วยกันสู้กับทุกปัญหา โดยเฉพาะเรื่องของพลังงาน เรื่องของความไม่เป็นธรรมต่างๆ ในสังคม เชื่อว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาพรรครวมไทยสร้างชาติพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราพูด เราทำ เราแก้จริง ยืนยันว่าเป็นผู้นำทัพด้วยตัวเอง

ในช่วงท้าย นายพีระพันธุ์ ยังเชิญชวนทุกคนที่มีแนวทางเดียวกันกับพรรครวมไทยสร้างชาติ คือแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ไม่ได้มาเล่นการเมือง ปัญหาของพี่น้องประชาชน ปัญหาของประเทศชาติมีเยอะ แต่ที่มีน้อยคือคนทำงาน คนที่ตั้งใจทำจริง วันนี้พรรครวมไทยสร้างชาติประกาศมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วตอนเข้าสู่สนามเลือกตั้งว่าเราจะเป็นแบบนั้น ตนมั่นใจว่า 2 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเราเป็นแบบนั้นจริง เพราะฉะนั้นถ้าใครที่มีความคิดแบบเดียวกัน มีแนวทางเดียวกัน มาร่วมกับเราช่วยกันฟื้นประเทศนี้

“เราเป็นพรรคที่มาทำงานการเมือง เราไม่ได้มาเล่นการเมือง ถ้าใครคิดว่ามาเล่นการเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เพื่อยศถาบรรดาศักดิ์ เพื่อตำแหน่ง เพื่อผลประโยชน์เงินทอง ก็อยู่พรรคนี้ไม่ได้ ใครที่อยู่ได้ก็คือต้องไม่มีเรื่องแบบนี้ อยากเห็นการเมืองที่เป็นการทำงานเพื่อบ้านเมือง ไม่อยากเห็นการเมืองที่เข้ามาเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ส่วนพรรค แล้วก็อ้างประชาชน อ้างบ้านเมือง แต่เบื้องหลังมีแต่เรื่องส่วนตัว นั่นคือสิ่งที่ทำไมผมสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติขึ้นมา ผมก็จะเดินแนวนี้ ทำแนวนี้ ได้เท่าไหร่เท่านั้น เพราะผมไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องทำพรรคมาเพื่อหาอำนาจ หาบารมี หาตำแหน่งให้ตัวเอง ทำมาให้เห็นว่าอยากเป็นพรรคแบบนี้ ถ้าหากว่าประชาชนให้การตอบรับมากก็เป็นโชคดีไป ประชาชนไม่ให้การตอบรับ ได้เท่าไหร่ผมทำเท่านั้น แต่ผมเป็นแบบนี้ พรรคนี้จะเป็นแบบนี้”