“จุลพงศ์ อยู่เกษ” สส.พรรคประชาชน โต้ “ณัฐวุฒิ” ยื่นยุบพรรคประชาชน-ภูมิใจไทย ปม MOA เข้าใจกฎหมายคลาดเคลื่อน อัด “เพ้อเจ้อ” สับสนข้อกฎหมายระหว่าง “นิติกรรมเอกชน” กับ “สัญญาประชาคมทางการเมือง”


วันที่ 17 กันยายน 2568 ที่รัฐสภา นายจุลพงศ์ อยู่เกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แถลงข่าวกรณีนายณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ยื่นคำร้องฉบับแก้ไขเพื่อดำเนินการต่ออัยการสูงสุดให้ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ยุบพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย พร้อมถอดถอน สส. ทั้งสองพรรคจำนวน 212 คน โดยอ้างถึงข้อตกลงทางการเมือง (MOA) ระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทยที่ให้กับพรรคเพื่อไทย


นายจุลพงศ์ระบุว่า ในฐานะ สส.พรรคประชาชนและรู้จักนายณัฐวุฒิมานานกว่า 10 ปี เห็นว่าคำร้องดังกล่าวเป็นการ “เพ้อเจ้อ” และสับสนข้อกฎหมายระหว่าง “นิติกรรมเอกชน” กับ “สัญญาประชาคมทางการเมือง” โดยปกติพรรคการเมือง 2 พรรคขึ้นไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลถือเป็นการแสดงเจตจำนงต่อสาธารณะ ไม่มีการครอบงำพรรคใด เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่เคยทำเป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้สาธารณะไม่ทราบว่ามีข้อตกลงอื่นเพิ่มเติมหรือไม่


สำหรับ MOA ระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทยนั้น นายจุลพงศ์ชี้แจงว่าเป็นการให้คำมั่นของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยว่าจะยุบสภาภายใน 4 เดือนและปฏิบัติตามอีก 5 เงื่อนไข แต่ต่างจากนิติกรรมเอกชนตรงที่ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับในศาลได้ หากฝ่ายใดผิดข้อตกลง พรรคประชาชนทำได้เพียงใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญ เช่น การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ยกมือสนับสนุนรัฐบาลเท่านั้น


นายจุลพงศ์ยังกล่าวว่า ประเด็นทางกฎหมายของ MOA ที่นายณัฐวุฒิยกขึ้นมาอ้างเพื่อถอดถอน ส.ส. และยุบพรรคนั้น “ไม่มีสาระพอที่จะขยายความ” และเหมาะเพียงใช้เป็นหัวข้อศึกษาในห้องเรียนกฎหมายมากกว่าที่จะนำมาวิเคราะห์การเมือง ซึ่งไม่ก่อประโยชน์ต่อประชาชน

...


สำหรับกรณีประวัติส่วนตัวของนายณัฐวุฒิที่นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทยให้สัมภาษณ์ นายจุลพงศ์ปฏิเสธไม่ขอพูดถึง โดยย้ำว่ารู้จักทั้งสองฝ่ายดีและไม่คิดว่านายศุภชัยจะให้ข้อมูลโดยไม่มีหลักฐาน


และขณะนี้ยังไม่ได้ยินท่าทีจากพรรคเพื่อไทยต่อข้อเสนอของนายณัฐวุฒิ แต่หวังว่าผู้ใหญ่และนักกฎหมายของพรรคเพื่อไทยจะพิจารณาอย่างรอบคอบ พร้อมเตือนว่าไม่ควรนำประเด็นด้านจริยธรรมหรือการล้มล้างการปกครองมาใช้ทำลายล้างพรรคการเมืองด้วยกันเอง เพราะจะเหมือน “ไก่ในเล้าที่จิกกัดกันเอง เจ็บตัวทั้งคู่ แต่คนยืนดูหัวเราะชอบใจ”