“ศุภชัย” เตือน “เพื่อไทย” คิดดีๆ เอา “ณัฐวุฒิ” มาช่วยกฎหมาย หลังอดีตเคยถูกไล่ออกจากอัยการ ด้าน “ณัฐวุฒิ” ชี้มติพรรคต้องรวมทุกคน ส่ง 3 คำร้องให้เพื่อไทยถอดถอน “อนุทิน-เท้ง” พร้อม 212 สส.
วันที่ 16 ก.ย. 2568 ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคภูมิใจไทย แถลงกรณีนายณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ยื่นคำร้องให้กับพรรคเพื่อไทย ในการร้องต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เกี่ยวกับข้อตกลงทางการเมือง (MOA) ระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย ว่า วันนี้นักกฎหมายจำนวนมากที่มีความเห็นว่าผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าคิดว่าจะร้องก็ใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญที่ถูกต้อง ก็ร้องกันไป แต่อยากฝากไปถึงพรรคเพื่อไทย ว่าตนมีความเป็นห่วง ที่ผ่านมาท่านเป็นพรรคการเมืองใหญ่ องคาพยพสำคัญคือต้องมีฝ่ายกฎหมาย ซึ่งเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยมีนักกฎหมาย มีปรมาจารย์ มีครูกฎหมายมากมายอยู่ที่นั่น จึงไม่คิดว่าพรรคเพื่อไทยจะไปจ้างนายณัฐวุฒิให้ทำตรงนี้ แต่คิดว่านายณัฐวุฒิไปเสนอเขาเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ตนไม่อยากจะพูดว่าผิดมารยาทของนักกฎหมายหรือมารยาททนายความ ในการเสนอตัวเข้าไปหาลูกความ
ย้อนต้องมือสะอาดก่อนตรวจสอบใคร
“มีสุภาษิตกฎหมายอยู่คำหนึ่ง one should come to Court with clean hands คุณจะไปศาล คุณจะต้องไปด้วยมือที่สะอาด หรือคุณจะต้องเป็นคนที่สะอาดพอที่จะไปศาล รวมถึงให้คำแนะนำตรงนี้ด้วย หัวหน้าพรรคเคยพูดว่า จะขึ้นธรรมาสน์เทศน์คนอื่นต้องล้างเท้าเสียก่อน“
เผยเคยถูกไล่ออกจากราชการ
นายศุภชัย กล่าวอีกว่า นายณัฐวุฒิเคยเป็นอัยการประจำกอง แต่เคยถูกไล่ออกจากราชการ เพราะประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เรื่องรับสินบน 1.5 ล้านบาท ไปวิ่งเต้นคดีของพวกเลือกตั้ง ในฐานะนักกฎหมายเป็นสิ่งที่ห้ามกระทำอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นท่านเป็นอัยการจนในที่สุดคณะกรรมการอัยการก็มีมติไล่ออกจากราชการด้วยเหตุผลนั้น
...
“ถ้าผมเป็นท่านจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยม เพราะเคยถูกไล่ออกในการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ซึ่งท่านได้ไปร้องศาลปกครองสูงสุด แต่ในที่สุดศาลปกครองก็วินิจฉัยว่ายื่นไม่ได้ คดีตัวเองยังแพ้เลย จึงอยากฝากไปถึงพรรคเพื่อไทยว่าคิดดีๆ แต่ถ้าเป็นผมจะไม่ใช้วิชาความรู้จากนายณัฐวุฒิ ซึ่งแฝงด้วยความเป็นมือไม่สะอาดนั้น มาใช้ประโยชน์ด้วยหรือไม่”
มอบ 3 คำร้องชงเชือด“อนุทิน-เท้ง”
ก่อนหน้านี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้เดินทางไปมอบคำร้องฉบับแก้ไขในการร้องต่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เกี่ยวกับข้อตกลงทางการเมืองระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย หรือ MOA หลังจากที่พรรคเพื่อไทยถอนร่างคำร้องจากนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่พรรคเพื่อไทย โดยมีนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทยเป็นผู้รับ
เพิ่มเอาผิด 212 สส.
นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า คำร้องฉบับใหม่ ได้เพิ่มผู้ถูกร้อง จากนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน กับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นการร้องเอาผิดต่อ สส. 212 คน ของพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทยด้วย และคำร้องฉบับใหม่ให้กับแกนนำพรรคเพื่อไทยเพื่อเข้าที่ประชุมฯ เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อถอดถอนนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เพราะขาดคุณสมบัติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง 3 คำร้อง ได้แก่
1.คำร้องส่งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพความเป็นนายกรัฐมนตรีของนายอนุทิน ชาญวีรกูล สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) ประกอบมาตรา 160(4)(5) โดยขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ตาม รธน. มาตรา 82 วรรคสอง ปมตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาคดีฮั้ว สว.สีน้ำเงิน ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
2.คำร้องส่งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ กับ 212 ได้แก่ สส.พรรคประชาชน จำนวน 143 คน พรรคภูมิใจไทย จำนวน 69 คน ปมข้อตกลง MOA ฉบับลงวันที่ 3 กันยายน 2568 ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
และ3. คำร้องขอให้อัยการสูงสุดวินิจฉัยสั่งให้เลิกการกระทำการใช้สิทธิล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ปมข้อตกลง MOA ฉบับลงวันที่ 3 กันยายน 2568 เพื่อเป็นสารตั้งต้นนำไปสู่การยุบพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย
ย้อน“สิริพงศ์”ไม่รู้กฏหมาย
ส่วนกรณีที่นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ระบุว่า MOA ไม่มีผลทางกฎหมาย นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ใครเป็นคนพูด นายสิริพงศ์ จบกฎหมายหรือไม่ ถ้าจบกฎหมายก็ต้องรู้ว่านิติกรรม 2 ฝ่าย มีผลผูกพันหากมีการลงชื่อ ก็มีผลก็ถือว่ามีผล เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 114 ห้ามการครอบงำหรืออยู่ภายใต้อาณัติใดๆ ไม่สามารถกระทำได้ และหากว่ากันด้วยผลประโยชน์ส่วนตน ตามมาตรา 185 ห้ามสส.กระทำการลักษณะนี้ ซึ่งมีผลต่อการพ้นสมาชิกภาพ ตามมาตรา 101 (7)
มั่นใจเพื่อไทยยื่นศาลรธน.ได้
นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า เชื่อมั่นว่าหากพรรคเพื่อไทย และ สส. ใช้ช่องทางตามมาตรา 82 วรรค 1 สามารถยื่นคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้ โดยเฉพาะมาตรา 82 วรรค 2 นอกจากยื่นได้แล้วยังขอคำสั่งให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนศาลพิพากษา ก็สามารถกระทำได้ ซึ่งศรนั้นก็ยังกลับมาที่ตนเอง เหมือนกรณีของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เราพูดกันตามเนื้อหา และพยานหลักฐาน เราไม่มีอะไรกับเขา พูดกันตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ปรากฏอย่างชัดแจ้ง