“จักรภพ” วิเคราะห์ชัยชนะเลือกตั้งซ่อม สส. เชียงราย เขต 7 เกินความคาดหมาย เชื่อมาจาก “สง่า” ทำงานหนัก มี “ยงยุทธ-พิเชษฐ์” ช่วยเบื้องหลังเป็นระบบ เตือนอย่ามองข้ามคะแนนโนโหวตประท้วงเงียบ


วันที่ 15 ก.ย. 2568 นายจักรภพ เพ็ญแข รักษาการที่ปรึกษาของเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงชัยชนะของนายสง่า พรมเมือง ในการเลือกตั้งซ่อม สส. เชียงราย เขต 7 โดยทิ้งห่างคู่แข่งอย่างพรรคประชาชนกว่าเท่าตัวว่า หากให้วิเคราะห์น่าจะมาจาก 1. มาจากตัวผู้สมัครเอง ที่ทำงานหนัก และลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนอย่างทั่วถึง 2. มาจากผลงานเดิมของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย 3. ความคาดหวังในตัวผู้สมัครที่เข้าใจความรู้สึกของชาวบ้าน ส่วนตัวรู้สึกว่าจังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่เฉพาะที่มีลักษณะเป็นเมืองนานาชาติที่มีการพัฒนาขึ้นในทุกวัน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับประเทศจีน ลาว เมียนมา แต่องค์ประกอบหลายอย่างของจังหวัดเชียงรายยังไม่ได้จัดให้สอดคล้องกับความเป็นเมืองนานาชาติ

ไม่คิดผลคะแนนทะลุ 4 หมื่น

นายจักรภพ ยอมรับด้วยว่า ก่อนหน้านี้ ทางพรรคเพื่อไทยตั้งความหวังว่า นายสง่าจะชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้คิดว่าผลคะแนนที่ได้จะสูงถึงขนาด 4 หมื่นกว่าคะแนน ซึ่งห่างจากผู้สมัครของพรรคประชาชนที่ได้ไม่ถึง 2 หมื่นคะแนน สิ่งที่ตนเองพูดนี้ไม่ได้หมายความถึงการฮึกเหิมและก้าวร้าวทางการเมือง แต่สิ่งที่จะต้องทำหลังจากนี้ คือจะต้องศึกษาวิธีที่ได้มาซึ่งคะแนนเสียง ว่าเพราะอะไรประชาชนถึงสนับสนุนพรรคเพื่อไทยด้วยคะแนนเสียงจำนวนมาก และเท่าที่ตนเองสังเกตนายสง่าพร้อมทั้งทีมงานทำงานหนักมาโดยตลอด และได้รับการสนับสนุนจากนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา ทั้งหมดนี้บ่งบอกถึงระบบที่เคยมีการบริหารการเมืองและการเข้าถึงประชาชนโดยผ่านกระบวนการตัวแทนต่างๆ ทั้งในระดับจังหวัดและระดับท้องถิ่น ซึ่งจากการชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ตนเองยังตั้งข้อสังเกตว่า ชัยชนะที่ได้มาไม่ได้มาจากการที่จัดเวทีหาเสียงในลักษณะเวทีใหญ่ แต่เป็นการหาเสียงโดยใช้เวทีย่อยแต่ละหมู่บ้าน เมื่อผลออกมาว่าชนะการเลือกตั้งแสดงว่ากลยุทธ์และวิธีที่ได้ลงพื้นที่หาเสียงไปได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี คือประชาชนอยากได้ผู้สมัครที่เข้าถึงตัวและสามารถพูดจากันได้

...

เชื่อพท.ปรับกลยุทธ์ลุยเวทีย่อย

นายจักรภพกล่าวด้วยว่า จากนี้เชื่อว่า ทางผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยก็คงจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แต่ในฐานะที่ตนเองเป็นผู้ช่วยหาเสียงเขต 7 เชียงราย ในครั้งนี้ คิดว่าสามารถนำมาเป็นต้นแบบในการหาเสียงเขตอื่นๆ ได้ โดยมีวิธีการคือ 1. เข้าถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด และให้ย้อนกลับไปคิดถึงตอนที่สร้างพรรคไทยรักไทยขึ้นเป็นครั้งแรก ตอนนั้นประชาชนไม่รู้จักพรรคไทยรักไทยเลย ซึ่งเราจะต้องเอาตรงส่วนนี้มาถอดบทเรียนว่าทำอย่างไรจึงเข้าถึงประชาชน และได้รับการเลือกตั้งจนมาถึงปัจจุบันนี้ ตอนนี้ส่วนตัวคิดว่า ไม่ได้ต้องการเฉพาะที่จะได้แต่ชัยชนะ แต่ต้องปลุกฟื้นความศรัทธาของประชาชน เนื่องจากประชาชนเอือมระอาต่อการเมืองเป็นจำนวนมาก

วิเคราะห์ปัจจัยทำให้ชนะ

“ชัยชนะของคุณสง่า ในครั้งนี้ ผมมองว่าเป็นเพราะตัวคุณสง่า ที่ประกอบธุรกิจพืชไร่ในพื้นที่มาโดยตลอด จนเป็นที่รักของประชาชน จึงทำให้มีฐานคะแนนเดิมอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าคะแนนที่ได้มาทั้งหมดจะเป็นฐานคะแนนเก่าของคุณพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน และอีกส่วนประมาณ 40% ได้รับคะแนนสงสารคุณทักษิณ ที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและต้องเข้าไปจำคุกอยู่ในเรือนจำ และสิ่งสำคัญที่ผมคิดว่ามีส่วนทำให้ชนะ คือ คุณยงยุทธ ติยะไพรัช การนำคนเก่าๆ ที่มีบทบาทในพื้นที่เข้ามาช่วยเหลือ” นายจักรภพ กล่าวและว่า

ห่วงโนโหวตประท้วงการเมือง

แต่สำหรับอีกประเด็นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ จำนวนบัตรที่กาช่องไม่ประสงค์เลือกบุคคลใดมีจำนวนเกือบหมื่นใบ นายจักรภพ กล่าวว่า ในส่วนนี้แสดงให้เห็นได้ชัดว่าคนเบื่อหน่ายการเมือง แต่ตัวเองก็ถือว่าเป็นประเด็นที่จะต้องนำมาคิดเนื่องจาก โนโหวต ไม่ได้แปลว่าเขาชอบหรือไม่ชอบทั้งเพื่อไทยและประชาชน และก็มองว่าผู้สมัครทั้ง 2 คนไม่มีใครเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์ แต่ในส่วนของพรรคประชาชนนั้น คนอาจจะผิดหวังที่ไปเข้าร่วมรัฐบาล ส่วนตัวจึงคิดว่าจะต้องให้ความสำคัญกับหมื่นคะแนนที่ โนโหวต ส่วนตัวมีความรู้สึกลึกๆ ว่า จำนวนที่ โนโหวต อาจจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็สะท้อนให้เห็นว่าเป็นคะแนนที่ประท้วงระบบการเมือง

ยุ “ทักษิณ”พ้นโทษ ถือธงนำเพื่อไทย

นอกจากนี้ยังคงมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับตระกูลชินวัตร ว่า หลังจากนี้ต่อไปพรรคเพื่อไทยมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีบุคคลในตระกูลชินวัตรเป็นผู้บริหารพรรค สำหรับประเด็นนี้ นายจักรภพมองว่า ตอนนี้คนในครอบครัวชินวัตร ก็คงมองอยู่ว่ามีบุคคลอื่นที่มีความรู้ความสามารถที่จะเข้ามาช่วยขยายอุดมการณ์ ในการร่วมขับเคลื่อนพรรค ต้องยอมรับว่าในระยะนี้คนคิดถึงนายทักษิณมากพอสมควร เนื่องจากนโยบายหลายอย่างที่นายทักษิณเคยทำไว้ตอนที่เป็นนายกรัฐมนตรี ยังไม่เคยมีใครทำได้ที่เป็นรูปธรรมขนาดนี้ และที่สำคัญตนเองคิดว่าหลังจากที่คุณทักษิณพ้นโทษ ควรจะต้องกลับมาอยู่เบื้องหน้าของพรรคเพื่อไทย เนื่องจากยังคงเป็นแบรนด์ของพรรคที่สำคัญ เพราะว่ายังคงมีคนที่ชื่นชอบในตัวคุณทักษิณอยู่อีกไม่น้อย และอีกประการเรื่องอายุขัยก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณทักษิณมีเวลาอีกไม่มากที่จะทำงาน เพราะฉะนั้นเมื่อประชาชนคิดว่าไม่อยากย่ำเท้าอยู่ที่เดิม ประกอบกับคุณทักษิณเองก็คิดว่าจะต้องพัฒนาก้าวไปข้างหน้าทั้ง 2 ส่วนนี้มารวมกันก็จะไปในทิศทางที่ดี และอีกประการหากนายทักษิณมาอยู่เบื้องหน้า ก็จะสามารถทำให้สร้างความมั่นใจให้กับ สส. ที่กำลังคิดว่าจะย้ายพรรค ปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ก็อาจจะเป็นได้หลังพ้นโทษ

เบรกอย่ารีบ ต้องเรียนรู้บทเรียน

ส่วนคำถามที่ว่ามีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่นายทักษิณจะมีโอกาสมารับโทษนอกเรือนจำ นายจักรภพกล่าวว่า คิดว่าเราไม่ควรรีบร้อนที่จะทำอะไรแบบนั้น ยกเว้นเสียแต่ว่าเป็นสิทธิของผู้ต้องขังตามปกติ ซึ่งจะพิจารณาจากพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ เพราะฉะนั้นจึงคิดว่าจะใช้สิทธิ์ทางด้านอายุ อาการป่วย จนถึงขั้นพักโทษนั้น ไม่เหมือนสมัยก่อนที่เราจะรีบเอาเรื่องนี้มาใช้เป็นสิทธิ ก็จะทำให้เกิดความคลางแคลงใจในอนาคต เราต้องเรียนรู้บทเรียนที่จะไม่ไปสร้างความระแวงของประชาชน เหมือนคราวที่ผ่านมา