แกนนำรวมพลังแผ่นดินฯ ขึ้นเวทีเสวนา “รัฐธรรมนูญมาตรา 144 ชี้ชะตาประเทศ” ฟ้องประชาชน ป.ป.ช. ดึงเช็งคดี 2 รัฐบาลเพื่อไทย โยกเงินกู้ 3.5 หมื่นล้านส่วนใช้หนี้ มาแจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 15 กันยายน 2568 ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ถนนราชดำเนิน คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย จัดเสวนาในหัวข้อ “รัฐธรรมนูญมาตรา 144 ชี้ชะตาประเทศ” โดยมี นายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ, นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม อดีตประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) และอดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์, นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และนายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ร่วมเสวนา โดยมี นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์เป็นผู้ดำเนินรายการ รวมถึงมี พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป เข้าร่วมงานดังกล่าวด้วย
นายชาญชัย กล่าวว่า เจตนารมณ์ที่ทำเรื่องนี้เพราะอยากให้สังคมรู้ถึงการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 ร่างขึ้นเพื่อต้องการปกป้องไม่ให้นักการเมืองล้วงลูกทำลายวินัยการเงินการคลังของประเทศ โดยเฉพาะคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เป็นฝ่ายบริหารที่สามารถทำอะไรก็ได้ ผ่านนโยบายประชานิยม เช่น โครงการแจกเงินหมื่นดิจิทัล วอลเล็ตของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตอนหาเสียงยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินมาจากไหนมาใช้ทำโครงการ
แต่เมื่อนายเศรษฐา ทวีสิน เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี และเซ็นอนุมัติงบประมาณให้ 5 ธนาคารรัฐวิสาหกิจของรัฐกู้เงิน 3.5 หมื่นล้านบาทเข้า ครม. และรัฐบาล น.ส.แพทองธาร เห็นชอบร่วมกับคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โยกงบฯ จำนวนนี้ไปทำโครงการดิจิทัล วอลเล็ต พวกตนจึงยื่นเรื่องร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต้องใช้เวลากว่า 5 เดือนในการหาหลักฐานที่อยู่ในมือของคนทำผิด เพื่อสกัดกั้นการก่อหนี้สินสาธารณะของประเทศจากนักการเมืองที่ทำโครงการของรัฐโดยไม่รับผิดชอบ ไม่เช่นนั้นเราจะมีหนี้เพิ่มอีกอย่างน้อย 5 แสนล้านบาท ไปเพิ่มหนี้สินให้ประเทศอีก ที่มีอยู่แล้วขณะนี้กว่า 14 ล้านล้านบาท
...
“หลักฐานสำคัญคือบันทึกการประชุม กมธ.งบประมาณปี 2568 ครั้งที่ 38 มี สส. ที่เป็น กมธ.งบประมาณฯ ถามว่า การแปรงบฯ หรือโยกงบฯ จำนวนนี้ไปผิดมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยตัวแทนของสำนักงบประมาณ กลับบอกไม่ผิด เพราะถือเป็นเงินที่ให้ 5 ธนาคารไปกู้มา เดี๋ยวเอาเงินงบประมาณไปจ่ายให้ ตอนนี้เงินทำดิจิทัล วอลเล็ตจำเป็นกว่า โดยรัฐบาลมีนโยบายและคำสั่งเป็นมติ ครม. มาแล้วว่าสั่งให้ทำได้ ทั้งที่เป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144”
ยกกรณี ”พิเชษฐ์“ โยกงบฯ ลงพื้นที่มีความผิดเทียบเคียง พ่วงต้องชดใช้เงินคืนรัฐ
ทางด้าน นายจรัญ กล่าวว่า กฎหมายเรื่องนี้มีมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550 แต่ไม่มีสภาพบังคับใช้ คือไม่มีกระบวนการให้ใครมาชี้ผิดได้ หากทำความผิดก็ไม่มีใครไปร้องผิดได้ เพราะต้องใช้เสียงสมาชิกรัฐสภาเข้าชื่อกัน 1 ใน 10 เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เฉพาะการฝ่าฝืนวรรคสอง ฉะนั้น รัฐบาลจึงไม่กลัว เขาจึงทำ และรัฐบาลชุดนี้พังเพราะที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาลไม่รอบคอบ เขาเชี่ยวชาญรัฐธรรมนูญปี 2540 และปี 2550 แต่เขาอ่านรัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่แตก
ทั้งนี้ เมื่อตนได้ข้อมูลว่า นายสมชาย และนายชาญชัย ไปร้อง ป.ป.ช. พบว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 144 ฉบับปราบโกงนี่จับได้ว่าโกงเงินงบประมาณแผ่นดิน โดยบิดผันไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้ศาลตรวจเจอ จับได้ ผลแค่ให้มติหรือการแปรญัตตินั้นสิ้นผล ถือว่าจบ เขาจึงไม่กลัววรรคสอง แต่รัฐธรรมนูญปราบโกงปี 2560 ได้เติมวรรคสามตอนท้ายคือ ให้ สส. และ สว.ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง พร้อมตัดสิทธิ์การรับสมัครรับเลือกตั้ง และให้ชดใช้เงินงบประมาณที่ได้ทุจริตบิดผันเอาไปเป็นประโยชน์โดยตรงและโดยอ้อมคืนแก่รัฐด้วย แล้วขยายไปถึงรัฐมนตรีและ ครม.ด้วย
พร้อมตัวอย่างกรณีศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยคดีของ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ศาลวินิจฉัยไปตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 144 วรรคสามไม่สุด ไปเพียง 2 จุดคือ 1. ให้หลุดจากตำแหน่งทันที และ 2. ตัดสิทธิ์การลงสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี แต่ไม่ได้วินิจฉัยไปในเรื่องการชดใช้เงินของรัฐ คืนแก่รัฐพร้อมดอกเบี้ย มีอายุความ 20 ปี เหตุที่นายพิเชษฐ์โดนศาลตัดสิน เพราะท่านทำซ้ำอีกครั้ง โดยของบประมาณในปี 2568 ไปใช้แล้ว ยังมาของบฯ ในปี 2569 ซ้ำอีก ศาลใช้เจตนารมณ์ของมาตรการตรวจสอบย้อนหลัง โดยเพิ่มวรรคสี่ วรรคห้า และวรรคหก ในมาตรา 144 คือเมื่อนำเงินรัฐไปใช้แล้ว ต้องจ่ายคืนทางแพ่งย้อนหลัง รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เสนอโครงการ ผู้ที่อนุมัติงบประมาณ ต้องร่วมรับผิดด้วย
แต่กฎหมายเปิดช่องทางคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ไม่เห็นด้วย ให้ทำความเห็นแย้งบันทึกไว้ด้วย เมื่อเขาทำผิด เจ้าหน้าที่หรือข้าราชการที่ค้านก็จะไม่มีความผิด แต่ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่ทำเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ปอดแหกกันทั้งนั้น และไม่ใช่แค่ปอดแหก แต่มีผลได้คือในเรื่องของตำแหน่งหรือประโยชน์อย่างอื่น จึงทำให้ไม่สะเทือนมโนสำนึก แต่ไม่ต้องห่วงแม้ว่าจะได้ตำแหน่งอะไรก็ตาม เพราะสุดท้ายจะจบด้วยคุก
นายจรัญ กล่าวต่อไป ตนคิดว่าที่ผ่านมา ป.ป.ช. ล่าช้าเพราะลังเล และหาก ป.ป.ช. ตีตก ก็ไม่มีใครกล้าที่จะเสนออีกแล้ว แต่อาจจะโดนมาตรา 172 ของรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น ขอให้ทำประเด็นนี้ให้ชัด หาก ป.ป.ช. เสนอเรื่องนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ สิ่งที่ตนกังวลคือศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 15 วัน ไม่เช่นนั้นท่านจะตกเป็นจำเลยของสังคม เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ มีเอกสารเป็นพันหน้า ตนมองว่าศาลรัฐธรรมนูญคงจะแยกแยะว่าคนไหนไม่รู้ตื้นลึกหนาบางในเรื่องนี้คงจะปัดออก และคนไหนที่รู้แน่ๆ เช่น กมธ.งบฯ ซึ่ง สว. ไม่ได้เป็น กมธ.งบฯ ด้วย เขาจะไปรู้ตื้นลึกหนาบางได้อย่างไร หากเราจะไปสืบให้ครบทั้ง สส. หรือ สว. 300 กว่าคนในเวลา 15 วัน คงไม่เสร็จ ขณะที่ สส.ฝ่ายค้าน และ สส.พรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ได้เป็น กมธ.งบฯ นั้น เขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง เขาก็ต้องโหวตไปตามมติของพรรค ฉะนั้น หากศาลรัฐธรรมนูญจะทำเรื่องนี้ให้เสร็จภายใน 15 วัน ตนมองว่าต้องตัดพวกนี้ออก แต่คนที่มีชื่อแน่ๆ ล็อกแน่ๆ ท่าจะไม่รอด
พร้อมช่วยงาน ป.ป.ช. เอาผิดคนเกี่ยวข้องทั้งหมด
ขณะที่ นายสมชาย เผยว่า ในการประชุม กมธ.งบประมาณปี 68 ครั้งที่ 38 หลังจากนายเศรษฐา ทราบว่า กำลังจะหมดหน้าที่ จึงอนุมัติให้กู้เงิน 3.5 หมื่นล้านบาทให้มาใช้หนี้ ขณะที่ ครม. ของ น.ส.แพทองธาร ก็อนุมัติให้โยกงบฯ นี้ไปทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อรวมกับรายงานการประชุม กมธ.งบฯ ครั้งที่ 38 ชี้ให้เห็นว่าเขาหาเงิน 5 แสนล้านบาท มาทำดิจิทัลวอลเล็ตไม่ได้ จึงต้องไปตัดงบฯ ส่วนต่างๆ เพื่อมาทำโครงการดังกล่าว มีหลักฐานชัดเจนที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญดูว่าครบทั้งเจตนาและหลักฐาน ทั้ง สส. ยังมีการโยกงบประมาณอีกกว่า 1.2 พันล้านบาทเศษ จากก้อน 3.5 หมื่นล้านบาท เอามาเพิ่มสวัสดิการเป็นเงินเดือนและค่ารักษาพยาบาลให้กับอดีตสมาชิกรัฐสภาคือทั้ง สส. และ สว.ตลอดชีพ ถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน โดยตนพร้อมจะเรียบเรียงข้อมูล ทำสารบัญหลักฐานในคดีนี้ให้ ป.ป.ช. เพื่อนำเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย พวกตนพร้อมไปช่วยงาน ป.ป.ช. ตลอดทั้งสัปดาห์หลังจากนี้ เพื่อเอาผิดคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
โยกงบฯ ทำดิจิทัลวอลเล็ต ถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว
ส่วน นายชัยสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อมีการยื่นเรื่องไปที่ ป.ป.ช. แล้ว ป.ป.ช. ต้องสอบสวนโดยพลัน คือต้องสอบสวนให้เสร็จภายใน 180 วัน แต่หากไม่เสร็จสามารถยื่นขอขยายเวลาได้อีก 3 ครั้ง ครั้งละ 90 วัน รวมแล้วไม่เกิน 450 วัน คำว่าโดยพลันคือต้องทำทันที การที่ ป.ป.ช. ออกระเบียบเพิ่มระยะเวลาสอบสวนโดยขยายเวลานี้ น่าจะขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 และ มาตรา 88 หาก ป.ป.ช.ไม่ทำก็อาจจะโดน มาตรา 172 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเพิ่มด้วย เพราะไปออกระเบียบที่ขัดต่อกฎหมาย ทั้งนี้ ความผิดในมาตรา 144 ในรัฐธรรมนูญมีโทษ 3 สถาน รวมถึงโทษทางอาญาด้วย การที่รัฐบาลนายเศรษฐา ตั้งงบประมาณกู้เงิน 3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อมาใช้หนี้ แต่กลับถูกโยกงบฯ โดยรัฐบาลต่อมาเพื่อมาทำดิจิทัลวอลเล็ต ถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว.