สส.พรรคประชาชนเกาะติดงบ Soft Power เผยโครงการเรือธงอบรมทักษะขนาดใหญ่ ตั้งเป้าหมายอบรมคนไทย 20 ล้านคนภายใน 4 ปี แต่ปรากฏ 2 ปีผ่านมา อบรมได้เพียง 2 หมื่นคนเท่านั้น
วันที่ 14 ก.ย. 2568 นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กระบุว่า จากกรณีเพจ THACCA ที่อ้างว่าปี 2567 ได้รับงบประมาณเพียง 635 ล้านบาทนั้น ตนในฐานะ สส. ที่ติดตามนโยบายด้าน Soft Power มาโดยตลอด ขอชี้แจงถึงข้อเท็จจริงที่ได้เคยอภิปรายในสภา คือ
1. THACCA ยังไม่ได้จัดตั้งเป็นหน่วยงานส่วนราชการ ไม่มีงบประมาณเป็นของตัวเอง ไม่มีตัวตนอยู่จริง การดำเนินงานนั้นจะเป็นการกระจายเงินงบประมาณไปยังกระทรวงและกรมต่าง ๆ เพื่อดูแลโครงการ เช่น ด้านภาพยนตร์อยู่กับกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ด้านอาหารอยู่กับกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น
2. งบประมาณปี 2567 จริงอยู่ คณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ได้งบ 635.54 ล้านบาท จากงบกลาง แต่นอกเหนือจากงบก้อนนั้น รัฐบาลยังของบเพิ่มเติมซอฟต์พาวเวอร์เพื่อจัดงานมหาสงกรานต์และอีเวนต์อีก 404.96 ล้านบาท และยังมีงบโครงการซอฟต์พาวเวอร์ในกระทรวงอื่น ๆ อีก 2,188.96 ล้านบาท ดังนั้น งบซอฟต์พาวเวอร์ในปี 67 มากกว่า 3,000 ล้านบาท
3.ในปี 2568 คณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ได้รับงบไป 2,318.42 ล้านบาท และยังมีการขอเพิ่มเติมในงบกลางอีก 1,336.72 ล้านบาท และยังมีงบโครงการซอฟต์พาวเวอร์ในกระทรวงอื่น ๆ อีก 2,082.85 ล้านบาท ดังนั้นงบในปี 2568 รัฐบาลเพื่อไทยได้ใช้เงินในเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ไปกว่า 5,000 ล้านบาท หากรวมเงินงบประมาณสองปีแล้ว เกือบ 8,000 ล้านบาท
4.โครงการเรือธงที่อยู่ภายในโครงการนี้ที่สำคัญคือ OFOS (one family one soft power) เป็นโครงการอบรมทักษะขนาดใหญ่ โดยใช้งบประมาณในปี 2567 ถึง 227 ล้านบาท และในปี 2568 ถึง 752 ล้านบาท โดยโครงการนี้มีเป้าหมายอบรมคนไทย 20 ล้านคนให้ได้ภายใน 4 ปี แต่ปรากฏว่าภายในสองปีที่ผ่านมา ผลผลิตของผู้อบรมได้เพียง 20,355 คน เท่านั้น ดังเช่น โครงการ OFOS อาหาร ที่ตั้งเป้าหมายในปี 2567 ว่าจะมีเชฟอาหารไทยถึง 10,000 คนในปีนั้น แต่ปรากฏว่ามีผู้เข้าร่วมฝึกอบรมเพียง 1,300 คนเท่านั้น
...
5.ในปีงบประมาณ 2569 นั้นรัฐบาลเพื่อไทย ได้ของบประมาณในแผนยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์กว่า 3.9 พันล้านบาท แต่หลังจากการพ้นตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ทำให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์สิ้นสภาพไปด้วย แต่งบกว่า 3.9 พันล้านบาทที่ผ่านสภาไปแล้วนั้น ยังคงจะกระจายไปอยู่ตามหน่วยงานอื่น ๆ เช่น เงินอุดหนุนภาพยนตร์ก็ยังคงอยู่กับกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เงินอบรมเชฟอาหารไทยอยู่กับ กระทรวงการอุดมศึกษา เป็นต้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า จากนี้สิ่งที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน ๆ ตนในฐานะ สส.จะติดตามตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณก้อนนี้ ที่กระจายอยู่ตามกระทรวงต่าง ๆ ต่อไป