เพื่อไทยเรียกร้องพรรคประชาชน เร่งคุย “อนุทิน” ห่วงประชามติไม่ทัน 4 เดือน ก่อนสังคมมอง MOA เป็นมวยล้มต้มคนดู ซัดภูมิใจไทยไม่สานต่อ รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เมินช่วยลดค่าใช้จ่ายประชาชน
วันที่ 14 กันยายน 2568 นายดนุพร ปุณณกันต์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยกรณีกระบวนการขั้นตอนการทำประชามติเพื่อเปิดทางการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ออกมาเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 หลายฝ่ายยังคงมีข้อกังวล เพราะไม่เพียงแต่เป็นการวินิจฉัยถึงขั้นตอนกระบวนการจัดทำประชามติตามที่สมาชิกรัฐสภาได้ยื่นคำร้องไปเท่านั้น แต่ยังมีการวินิจฉัยเพิ่มเติมถึงที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ด้วยว่าไม่สามารถได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของพี่น้องประชาชน อย่างไรก็ตาม แม้คำวินิจฉัยดังกล่าวจะไม่ใช่ประเด็นที่อยู่ในคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่คำวินิจฉัยดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันทุกองค์กร
นายดนุพร ระบุต่อไปว่า พรรคเพื่อไทยจึงเสนอแนวทางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพิ่มหมวด 15/1 เพื่อเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยจะเสนอแนวทางการตั้ง ส.ส.ร. หรือคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ที่มีความเกี่ยวข้องยึดโยงและสะท้อนถึงเจตนารมณ์ความต้องการของประชาชนมากที่สุด ซึ่งขณะนี้พรรคเพื่อไทยได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมก่อนจะเสนอญัตติต่อรัฐสภาต่อไป ตามที่ได้มีการแถลงข่าวไปเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการในทุกหนทางเพื่อนำไปสู่การเปิดทางไปสู่การทำประชามติถามพี่น้องประชาชนและนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามแนวทางของพรรคที่ได้ดำเนินการอย่างแน่วแน่และรอบคอบรอบด้านมาโดยตลอด
...
ส่วนที่ขณะนี้หลายฝ่ายกังวลเป็นอย่างยิ่งว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การทำประชามตินั้นจะทันเวลาตามกรอบ MOA ของพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ เนื่องจากในทางปฏิบัติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อเพิ่มเติมหมวด 15/1 จะต้องทำโดยการพิจารณาร่วมของรัฐสภา และจะต้องพิจารณาผ่านทั้ง 3 วาระ โดยจะต้องบรรลุเงื่อนไขการเห็นชอบโดยสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตามที่มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เมื่อกระบวนนี้แล้วเสร็จ ก็จะต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติอีกครั้งว่าเห็นชอบกับร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่ด้วย ทำให้หลายฝ่ายเริ่มมองว่ากระบวนการอาจยาวนานกว่า 4 เดือน
“ขณะนี้ได้เกิดคำถามย้อนกลับไปที่พรรคประชาชน ยังคงมั่นใจอยู่หรือไม่ว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญและประชาชนจะได้ออกเสียงประชามติทันในระยะเวลา 4 เดือน ที่พวกท่านได้กำหนดเอาไว้เองหรือไม่ และที่สำคัญสถานะของ MOA ทั้ง 5 ข้อ ที่ได้จัดทำร่วมกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยให้ได้นั้นจะเหลือเป็นจริงได้กี่ข้อ และแม้แต่ข้อที่ประกาศว่าจะขอทำหน้าที่ฝ่ายค้านโดยไม่ขอเข้าร่วมรัฐบาลที่จัดตั้ง ก็เริ่มมีหลายฝ่ายตั้งคำถามแล้วว่าท่านเป็นฝ่ายค้านจริงหรือไม่ เพราะภารกิจสำคัญหลังจากนี้คือเป็นพรรคการเมืองที่ต้องคอยรักษาองค์ประชุมให้กับรัฐบาลที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย”
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวอีกว่า ดังนั้นเพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญและเปิดทางไปสู่การทำประชามติสอบถามพี่น้องประชาชนมีโอกาสเป็นจริงได้ให้มากที่สุด พรรคประชาชนควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการเดินเข้าไปพูดคุยกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีที่พรรคประชาชนลงมติเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งและจัดตั้งรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยให้ชัดเจน ให้ทำความเข้าใจกับเสียงส่วนใหญ่ของ สว. หรือที่เรียกกันว่า สว.สีน้ำเงิน อย่าขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำประชามติ เนื่องจากก่อนหน้านี้สังคมรับรู้กันว่า สว. คือกลุ่มการเมืองหลักในการถ่วงรั้งร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ก่อนที่สังคมจะตั้งคำถามถึง MOA ส้ม-น้ำเงิน มากกว่านี้ว่าเป็นแค่มวยล้มต้มคนดูเท่านั้น
สำหรับกรณีที่ นายอนุทิน ประกาศภายใต้รัฐบาลพรรคภูมิใจไทย จะไม่มีการดำเนินการนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายซึ่งเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยต่อ นายดนุพร กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นสิทธิของรัฐบาลใหม่ว่าจะสานต่อนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะต้องพูดกันตรงไปตรงมาคือ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย มีจุดประสงค์สำคัญคือการลดรายจ่ายและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
แม้นายกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยจะมองการช่วยเหลือประชาชนเป็นเรื่องภาระของรัฐบาล ด้วยการอ้างว่าจะต้องมีการชดเชยให้กับเอกชน แต่หากย้อนไปดูเมื่อการหาเสียงปี 2566 พรรคภูมิใจไทยก็ได้ประกาศนโยบายที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับนโยบายของพรรคเพื่อไทย รถไฟฟ้า 40 บาทตลอดทั้งวัน ซึ่งขณะนั้นพรรคภูมิใจไทยพูดเอาไว้สวยหรูว่า รถไฟฟ้าเป็นทางออกของคนกรุงเทพฯ ที่ทุกคนขึ้นได้และค่าโดยสารต้องไม่เป็นอุปสรรคหรือเป็นปัญหาต่อคนทุกกลุ่ม พรรคภูมิใจไทยจึงมีนโยบายออกตั๋วรถไฟฟ้าเป็นตั๋วรายวัน วันละ 40 บาทไปกี่เที่ยวก็ได้ เพื่อช่วยทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่อเดือนต่อคนลดลง และประชาชนบริหารค่าใช้จ่ายต่อคน ต่อครอบครัวได้ชัดเจน ที่สำคัญจะช่วยให้ทุกคนสามารถขึ้นรถไฟฟ้าได้
“แต่เมื่อพรรคภูมิใจไทยมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลกลับไม่สนใจนโยบายในการลดค่าใช้จ่ายและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนลักษณะนี้ โดยปฏิเสธนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้พรรคภูมิใจไทยนำนโยบาย 40 บาทตลอดวัน ที่เคยหาเสียงไว้ มาทำเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับพี่น้องประชาชน”