ที่ประชุมสภาฯ เริ่มลงมติ โหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 หลังเปิดโอกาสให้ สส. อภิปรายหนุน “ชัยเกษม-อนุทิน” กว่า 2 ชั่วโมง “ทวี” อัด “เสี่ยหนู” ไม่มีความสุจริตเป็นที่ประจักษ์-มีคดี
เมื่อเวลา 12.04 น. วันที่ 5 กันยายน 2568 นายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธาน เปิดโอกาสให้ทั้ง 2 ฝ่ายเสนอชื่อผู้ชิงนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 โดยนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เสนอชื่อ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย บัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีคนเดียวของพรรคภูมิใจไทย ทางด้าน นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เสนอชื่อ นายชัยเกษม นิติสิริ บัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายของพรรคเพื่อไทย จากนั้นเปิดโอกาสให้สมาชิกอภิปรายก่อนลงมติผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีฝ่ายละ 1 ชั่วโมง ก่อนลงมติ
จากนั้นเวลา 12.29 น. เริ่มการอภิปรายโดย นายอัครแสนคีรี โล่ห์วีระ สส.ชัยภูมิ พรรคกล้าธรรม ระบุโดยรวมว่าการโหวตสนับสนุนนายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อพาประเทศก้าวข้ามความไม่แน่นอนที่สะสมในช่วงที่ผ่านมา เราให้ความสำคัญการแก้รัฐธรรมนูญ และคืนอำนาจให้ประชาชนเร็วที่สุด ยึดชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การโหวตครั้งนี้เพื่อเลือกทางออกประเทศ จากความไม่แน่นอน ความขัดแย้ง พรรคกล้าธรรมขอประกาศว่าสนับสนุนนายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมชวน สส. เปิดใจให้โอกาสนายอนุทิน แสดงฝีมือในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ของประเทศไทย
...
ทางด้าน นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายค้าน นายอนุทิน ว่ามีคุณสมบัติไม่เหมาะสม เพราะเหตุการณ์ที่นายอนุทินเข้าไปเกี่ยวข้อง พร้อมยกถึงเรื่องข้อตกลง 5 ข้อ ที่พรรคภูมิใจไทยทำกับพรรคประชาชน ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมให้นายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี เหมือนเป็นลูกไก่อยู่ในกำมือพรรคประชาชน ซึ่งเป็นการขัดต่อหลักการประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง รัฐบาลจะไม่มีเสถียรภาพเมื่อไม่มีเสียงข้างมาก และพรรคประชาชนจะอยู่ในสภาพอิหลักอิเหลื่อ จะอภิปรายไม่ไว้วางใจได้อย่างไร ในเมื่อเป็นผู้เลือกรัฐบาลนี้มา พร้อมระบุว่า นายอนุทิน ขาดคุณสมบัติเพราะมีบารมีมากไป เหตุผลที่ควรเลือกนายชัยเกษม เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะจะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจและจะยุบสภาได้เร็วที่สุด ความเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตยจะไม่เกิดขึ้น
ขณะที่ นายสุรทิน พิจารณ์ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ อภิปรายว่า พี่น้องประชาชนมอบให้คนที่เป็นมือเดียวของพรรคโหวตนายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ขอชื่นชมนายอนุทิน ที่ลงพื้นที่ไปพบและให้กำลังใจพี่น้องประชาชน คนชายแดนมีความหวังว่าเสียงปืนจะสงบ ความร่มเย็นชายแดนจะกลับคืนมา ไม่มีคลิปเสียงมาทำร้ายทำลายประเทศไทย จึงขอสนับสนุนนายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32
นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่าไม่เห็นด้วยที่จะให้นายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี แต่สนับสนุนนายชัยเกษม แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย โดยตั้งข้อสงสัยว่านายอนุทินมีข่าวลือที่หนาหูเหม็นคลุ้งในสภาฯ ว่ามีการใช้เงิน 1,500-2,000 ล้านบาท อยากให้เคลียร์เรื่องนี้ เพราะไม่อยากให้ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีถูกตราหน้า ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีจริยธรรม ถ้าไม่เคลียร์จะไม่สง่างาม โดยมี สส.พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่าใส่ร้ายป้ายสี ต่อมานายอดิศร ท้าให้ไปสาบานที่วัดพระแก้ว ให้มีอันเป็นไปหากไม่บริสุทธิ์จริง นายชัยเกษม ดีกว่านายอนุทิน พันเท่าล้านเท่า
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ผู้อภิปรายสนับสนุนนายชัยเกษม อีกราย อภิปรายว่า การพิจารณามี 2 เรื่องหลักคือ คุณสมบัติลักษณะต้องห้าม และกระบวนการที่มา หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยมิสมควรได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะขัดหลักการประชาธิปไตย ขัดหลักรัฐธรรมนูญ และผิดข้อกฎหมาย ข้อตกลงของพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน กำลังจะทำให้หลักการถูกทำลายเพื่อแลกกับคนหนึ่งคนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาชนกำลังยก 14 ล้านเสียง ให้กับ 1 ล้านเสียง และอาจนำไปสู่การที่อำนาจนอกระบบจะเข้ามาครอบงำ
ต่อด้วย นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่งด้วยคำพิพากษาของศาล ซึ่งนายชัยเกษม ลาออกจาก สส. เมื่อปี 2566 ด้วยเหตุมีปัญหาสุขภาพ เมื่อวานนี้เห็นนายชัยเกษม มานั่งแถลงข่าวอ่านตามโพย เลือกเป็นนายกรัฐมนตรีจะยุบสภาทันที ซึ่งไทยกำลังเผชิญเรื่องไม่มีรัฐบาล และเรื่องอธิปไตย ข้อเสนอยุบสภาอาจจะสนองอารมณ์เพียงบางคน แต่ไม่ได้แก้ปัญหา ส่วนนายอนุทิน เป็นพรรคอันดับ 3 ที่รวบรวมเสียงได้ เสนอเป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้ผิด แต่สิ่งที่มีปัญหานิดเดียวคือมีการทำข้อตกลงกับพรรคที่หนุนว่าจะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ อยากได้ยินคำตอบจาก นายอนุทิน ว่าจะออกกติกาหรือไม่ในเรื่องแตะหมวด 1 หมวด 2 และมาตรา 112 ไม่ได้ ถ้ายืนยันได้จะตัดสินใจทันที
นายรังสิกร ทิมาตฤกะ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย อภิปรายถึงจิตใจที่โอบอ้อมอารีของนายอนุทิน ทั้งภารกิจหัวใจติดปีก บินส่งมอบหัวใจ ตนต้องเคารพพรรคประชาชนที่มี 14 ล้านเสียง มอบให้พรรค 1 ล้านเสียง เห็นประโยชน์ประเทศมากกว่า คนไทยต้องชื่นชมพรรคการเมืองนี้
นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายสนับสนุนนายชัยเกษม ว่า ตนเองไม่ติดใจว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ต้องคำนึงว่า เราต้องคัดคนที่สง่างามที่สุดของสภาฯ ไม่ให้ใครดูแคลนได้ ต้องเป็นที่ยอมรับของต่างชาติ ข้อกฎหมายต้องได้ มาตรฐานจริยธรรมต้องถูก และกระบวนการที่มาต้องรักษาระบอบประชาธิปไตยด้วย คนจะเป็นนายกรัฐมนตรีคุณสมบัติระบุไว้ชัด นายชัยเกษม เรียบร้อยบริสุทธิ์ แต่ไม่สบายใจในส่วนของนายอนุทิน ในเรื่องคดีฮั้ว สว. เพราะถูกแจ้งความดำเนินคดี และคดีอยู่ในชั้นกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งเรื่องการทำ MOA ก็หมิ่นเหม่รัฐธรรมนูญ
ถ้านายอนุทิน ได้รับการยอมรับจากสภาฯ แล้วประธานสภาฯ ต้องทำขึ้นทูลเกล้าฯ ถ้ามีปัญหาในข้อกฎหมาย ต้องเป็นที่ยุติเสียก่อนนำขึ้นทูลเกล้า คดีฮั้ว สว. และเขากระโดง ยังอยู่ในขั้นตอนกฎหมาย ทุกคนในที่นี้ก็ต้องคิดด้วย ถามว่าประธานสภาฯ กล้านำขึ้นทูลเกล้าฯ หรือไม่ ตนเองไม่ได้มีปัญหากับนายอนุทิน แต่เป็นปัญหาของประเทศชาติ สรุปว่าเห็นด้วยที่จะสนับสนุนนายชัยเกษม ไม่สนับสนุนนายอนุทิน
ทั้งนี้ ประธานในที่ประชุมได้ขอให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติ ได้อภิปรายอีกคนในฝ่ายสนับสนุนนายชัยเกษม แม้เวลาจะหมดแล้ว ฝ่ายพรรคภูมิใจไทยให้เวลาอีก 5-6 นาทีได้อภิปราย พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า คนฉลาดต้องเรียนรู้ความผิดพลาดในอดีต คนที่จะฉลาดกว่าต้องเรียนรู้ความผิดพลาดคนอื่น มองว่านายชัยเกษม มีคุณสมบัติ แต่นายอนุทิน ไม่มีมาตรฐานและความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เนื่องจากมีเรื่องของคดีฮั้ว สว. เรื่องอยู่ในคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รวมถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในข้อหาอั้งยี่ และข้อหาฟอกเงิน อยากให้ผู้ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีอย่าแทรกแซงคดีดังกล่าว วันนี้เราต้องการรักษาเอกราช ไม่ยกให้ใครแม้ตารางนิ้วเดียว แต่นายอนุทิน ไม่รักษาทรัพย์สมบัติแผ่นดิน โดยเฉพาะที่ดินเขากระโดง ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง
นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ระบุว่าเรื่องอยู่ในระหว่างการดำเนินคดี ยังไม่ได้เป็นผู้ต้องหา คิดว่า ครม.ชุดใหม่คงไม่ได้ไปแทรกแซง มีแต่รัฐมนตรีคนเก่าที่ถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ประธานจึงขอให้ระมัดระวังไม่พาดพิงบุคคลภายนอก พ.ต.อ.ทวี กล่าวต่อไปว่า หากนายอนุทิน มาเป็นนายกรัฐมนตรีอาจจะเป็นภัยร้ายแรง ก่อนจะถูกประท้วงอีกครั้งเรื่องการพูดข้อเท็จจริงไม่หมดจะทำให้เกิดความเสียหาย ก่อนจะให้ พ.ต.อ.ทวี จะสรุปว่า ถ้าได้นายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นความโชคร้ายของประเทศ
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายเป็นคนสุดท้ายและขอตอบคำถามข้อห่วงใยเรื่องรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่พรรคประชาชนสนับสนุนโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า หลังจากพรรคประชาชนประกาศข้อตกลง 5 ข้อ มีการคงสภาพความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยอยู่ พรรคเพื่อไทยก็รับข้อเสนอ และพร้อมยุบสภาทันที แต่เพื่อนสมาชิกพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วย ถามว่าได้แสดงท่าทีต่อพรรคของตัวเองหรือไม่ จนถึงวินาทีนี้การอภิปรายของพรรคเพื่อไทยยังไม่สามารถทำให้เชื่อได้ว่าหลักการคืออะไร ในช่วงเวลา 4-6 เดือนต่อจากนี้ จะเป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทยว่าจะเป็นฝ่ายค้านที่เข้มแข็งที่สุด พร้อมเชิญชวนให้พรรคเพื่อไทยทำฝ่ายค้านให้เข้มแข็งเดินหน้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย
ส่วนข้อห่วงใยล้มล้างการปกครอง ไม่ขอพูดอะไรไปมากกว่านี้ ขอเวลา 4-6 เดือนต่อจากนี้มาร่วมกันพิสูจน์ ไม่ได้ต้องการชวนทะเลาะหรือหวนอดีต แต่ต้องการเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ขอเน้นย้ำว่าวันนี้สภาฯ ต้องพิจารณาญัตติโหวตนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 4 แต่สภาฯ ชุดนี้ชุดเดียว ต้นสายปลายเหตุคือรัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่มีเวลาถกเถียงกัน แต่พรรคประชาชนตัดสินใจเพื่อหาทางออกให้ประเทศ เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง เปิดประตูแก้รัฐธรรมนูญ
พร้อมย้ำความชัดเจนว่าเราไม่ได้เลือกนายอนุทิน มาบริหารประเทศ แต่เลือกมายุบสภาผู้แทนราษฎรภายใต้กรอบเวลาที่ตกลงกันและเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ นี่คือโอกาสดีที่สุดภายใต้กรอบ 4 เดือนนี้ ที่รัฐสภาของพวกเราจะเปิดช่องในการแก้ไขมาตรา 256 ให้ทันและให้มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งและทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งครั้งหน้า หากศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ทำประชามติ 2 ครั้ง เราคิดข้อเสนอนี้ตั้งแต่ 2 เดือนที่แล้ว และไตร่ตรองทุกวินาทีจนถึงวันนี้ นี่คือโอกาสดีที่สุดในการเดินหน้าสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
การคงสภาพรัฐบาลเสียงข้างน้อย ตนและพรรคประชาชนพรรคเดียวไม่สามารถคงสภาพฝ่ายค้านเสียงข้างมากได้ แต่จะต้องร่วมมือกับพรรคเพื่อไทย ตนตอบแทนพรรคประชาชนได้ว่าไม่มีใครเป็นงูเห่า ถ้าพรรคเพื่อไทยตอบได้ไม่มีทางเป็นอื่น สิ่งที่อยากทำให้เกิดความชัดเจนต่อไปคือหลักการที่พวกเรายึดมาโดยตลอดคือ พรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค เข้าใจว่าหลายคนในที่นี้มีความอึดอัดในการลงมติวันนี้ แต่เมื่อมีมติพรรคออกมาแล้วไม่มีใครบิดพลิ้วต่อมติพรรค ขอยืนยันในฐานะหัวหน้าพรรค และถ้ามี สส.พรรคประชาชนขัดต่อมติพรรค คือคุณขัดต่อคุณค่าพื้นฐานของพรรคที่บอกว่าพรรคใหญ่กว่าคน
ในช่วงท้าย นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า เรากำลังจะมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งใหม่ภายใต้กรอบ 4-6 เดือนต่อจากนี้ เชื่อว่าทุกพรรคการเมืองเดินหน้าสู่การเลือกตั้งแล้ว ทุกพรรคต้องมุ่งหน้าในการสร้างคะแนนความนิยมให้กับตัวเองเพื่อให้ทุกพรรคมี สส. ในสภาฯ มากที่สุดในการต่อรองในการได้เก้าอี้รัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าทุกพรรคอยากได้คะแนนมากขึ้น คุณต้องรักษาสัญญา นี่คือความชัดเจน 5 ข้อหลักที่พรรคประชาชนใช้ในการตัดสินใจโหวตเลือกนายอนุทินในวันนี้
ต่อมาเวลา 14.52 น. ประธานถือว่าการสิ้นการอภิปรายแล้ว ได้อธิบายขั้นตอนการลงคะแนน แล้วจึงเริ่มเข้าสู่การลงมติโหวตนายกรัฐมนตรี.