การเมืองไทย ณ ปัจจุบัน อาจนิยามได้ว่าตกอยู่ในสภาวะไม่ปกติอย่างสมบูรณ์แบบ หลังผ่านนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 2 คนภายในวาระเดียว ในวันที่ 5 กันยายน 2568 รัฐสภากำลังจะลงมติเลือกผู้นำประเทศเป็นครั้งที่ 4 ท่ามกลางสถานการณ์ที่บีบคั้นให้ประเทศไทยอาจได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ภายใต้การนำของพรรคอันดับสาม และที่น่าจับตาที่สุดคือการเกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่งอย่างพรรคประชาชน

ผศ.ดร.วีระ หวังสัจจะโชค
ผศ.ดร.วีระ หวังสัจจะโชค


ปรากฏการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อภูมิทัศน์การเมืองและศรัทธาของประชาชนต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างไร ผศ.ดร.วีระ หวังสัจจะโชค อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์อันน่ากังวลนี้ไว้อย่างน่าสนใจ

ความผิดเพี้ยนที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์

แม้ในอดีตการเมืองไทยเคยมีรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคเสียงข้างน้อยในสภา เช่นในยุคของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ แต่ ผศ.ดร.วีระ ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญว่า "ในอดีต เมื่อมีการรวมเสียงกับพรรคร่วมต่างๆ แล้ว เสียงรวมในสภาจะเกินกึ่งหนึ่งตั้งแต่วันแรกเสมอ" แต่สถานการณ์ปัจจุบันกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง นี่คือการจัดตั้งรัฐบาลที่เริ่มต้นด้วยเสียงข้างน้อยอย่างแท้จริง โดยอาศัยเสียงจากพรรคที่ประกาศตัวเป็นฝ่ายค้านมาโหวตให้ แต่ไม่เข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งถือเป็น "ปรากฏการณ์ใหม่" ที่ไม่เคยเกิดขึ้นและขัดต่อหลักการพื้นฐานของระบบรัฐสภา

...

ไม่ใช่แค่ทำงานไม่ได้ แต่อยู่ไม่ได้ตั้งแต่แรก

อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย


อาจารย์วีระวิเคราะห์ว่า สภาพของรัฐบาลเช่นนี้ไม่ใช่แค่ ทำงานไม่ได้ แต่แทบจะอยู่ไม่ได้ตั้งแต่แรก เพราะแม้พรรคประชาชนจะโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าจะให้การสนับสนุนการออกกฎหมายสำคัญอื่นๆ

"ถ้ารัฐบาลอยากจะทำนโยบายอะไรก็ต้องออกมาเป็นกฎหมาย ถ้าสุดท้ายพรรคประชาชนจะโหวตแค่นายกฯ แต่ตั้งใจโหวตให้กฎหมายอื่นตกไป พรรคภูมิใจไทยก็ทำงานไม่ได้"

สถานการณ์นี้จะนำไปสู่สภาวะทางตัน (Deadlock) ทันทีที่รัฐบาลเริ่มทำงาน กลายเป็นรัฐบาลที่เข้าสู่ภาวะชะงักงัน และไม่สามารถผลักดันนโยบายใดๆ ได้เลย

เมื่อฝ่ายค้านคือผู้มอบฉันทานุมัติ

ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือการพังทลายของกลไกการตรวจสอบถ่วงดุล เมื่อฝ่ายค้านซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล กลายเป็นผู้มอบฉันทานุมัติให้รัฐบาลเข้ามามีอำนาจเสียเอง ผศ.ดร.วีระ มองว่านี่คือสภาวะ "ผิดฝาผิดตัว" ที่จะสร้างปัญหาในระยะยาว

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน


"หากรัฐบาลอนุทินทำผิดพลาดในอนาคต พรรคประชาชนจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะคุณเอา 150 เสียงที่มาจากประชาชน ไปโหวตให้เขาฟรีๆ แล้วไม่ต้องรับผิดชอบ แบบนี้พรรคประชาชนควรจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก"

อาจารย์วีระยังฉายภาพให้เห็นถึงสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนใจในอนาคต “เรานึกภาพได้เลยว่าในอนาคตพรรคภูมิใจไทยทำอะไรผิด ก็คงจะบอกว่า ก็คุณมาโหวตให้ผมเอง”

สำหรับกรณีคล้ายกันในต่างประเทศ ผศ.วีระระบุว่า เท่าที่ทราบ กรณีฝ่ายค้านมีบทบาทชี้ขาดในการโหวตตั้งรัฐบาลโดยที่ตัวเองไม่ร่วมรัฐบาล เคยเกิดขึ้นราว 70 ปีก่อนในสหราชอาณาจักร แต่ในการเมืองสมัยใหม่ นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลักการคือฝ่ายบริหารต้องมีเสียงเกินกึ่งหนึ่ง หากรวมเสียงไม่ได้ก็มักยื้อกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล ไปจนกว่าจะได้เสียงพอ (เช่นในเบลเยียมและเยอรมนี) มากกว่าที่ฝ่ายค้านจะไปโหวตให้อีกฝ่ายขึ้นเป็นรัฐบาลแล้วตัวเองถอยไปเป็นฝ่ายค้าน

เมื่อการเมืองกลายเป็นเรื่องโกหกนำมาสู่จุดจบของศรัทธา

ผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดจากปรากฏการณ์นี้ คือการกัดเซาะความไว้วางใจ (Trust) ของประชาชนที่มีต่อระบบการเมืองทั้งหมด ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่เคยผิดหวังกับการ "ตระบัดสัตย์" ของพรรคเพื่อไทย ก็จะได้เห็นภาพซ้ำรอยกับพรรคประชาชนหรือไม่ ทำให้การเมืองกลายเป็นเพียง "ละครหนึ่งฉาก" ที่นักการเมืองพร้อมจะละทิ้งอุดมการณ์เพื่อแลกกับผลประโยชน์เฉพาะหน้า

ในทางกลับกัน อาจารย์วีระตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า พรรคภูมิใจไทยซึ่งไม่เคยชูธงอุดมการณ์ในระดับชาติ แต่เน้นการดูแลพื้นที่และประสานประโยชน์ในแบบ "นักการเมืองบ้านใหญ่" อาจกลายเป็นพรรคที่ดูเหมือน "รักษาสัญญา" ได้ดีที่สุดในสายตาประชาชนบางส่วน ซึ่งอาจนำไปสู่แนวโน้มที่น่าเศร้า คือประชาชนจะเลิกโหวตเชิงอุดมการณ์ และหันกลับไปสู่การเมืองแบบอุปถัมภ์ที่ดูเพียงผลประโยชน์ระยะสั้นในพื้นที่ของตัวเองเป็นหลักหรือไม่

ทางออกที่เหลืออยู่ คืนอำนาจสู่ประชาชน

อาจารย์วีระสรุปทางออกที่ดีที่สุดต่อระบอบประชาธิปไตยคือ
อาจารย์วีระสรุปทางออกที่ดีที่สุดต่อระบอบประชาธิปไตยคือ "การยุบสภาโดยเร็วที่สุด"


ท้ายที่สุด อาจารย์วีระสรุปว่า ภายใต้สถานการณ์ที่สภาไม่สามารถทำงานได้ตามกลไกปกติ และประเทศขาดทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนเช่นนี้ ทางออกที่ดีที่สุดต่อระบอบประชาธิปไตยคือ "การยุบสภาโดยเร็วที่สุด" เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนได้ตัดสินใจใหม่อีกครั้ง

การยื้อให้รัฐบาลที่ผิดหลักการนี้ดำรงอยู่ต่อไป ไม่เพียงแต่จะทำให้ประเทศชาติเสียโอกาส แต่ยังเป็นการทำลายศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยที่อาจต้องใช้เวลาอีกนานในการฟื้นฟู