“ภราดร” จวก “ฉลาด” ไม่เป็นกลาง เข้าข้างพรรคเพื่อไทย หลังถกวิป 2 ฝ่ายไร้ข้อสรุปวันโหวตเลือกนายกฯ คนที่ 32 อ้างรอศาลรัฐธรรมนูญ-ยุบสภา แต่ยังเชื่อ “วันนอร์” บรรจุวาระเร่งด่วนทันโหวต 5 ก.ย.นี้


เมื่อเวลา 15.45 น. วันที่ 3 กันยายน 2568 นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย กล่าวที่รัฐสภา ภายหลังการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎร (วิป) ว่า หลังจากที่ นายฉลาด ขามช่วง รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ประธาน สส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) แถลงว่า ที่ประชุมวิป 2 ฝ่ายไม่มีข้อสรุปนั้น ตนขอตำหนิการทำหน้าที่ของนายฉลาด ประธานในที่ประชุม ท่านไม่ได้ทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง แต่เข้าข้างพรรคการเมืองที่สังกัด 

นายภราดร กล่าวต่อไปว่า ในช่วงเช้าพรรคประชาชนแถลงการณ์ชัดเจน ในช่วงสาย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้เซ็น MOA กับพรรคประชาชนเรียบร้อย ตนในฐานะ สส. จึงยื่นหนังสือให้กับ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามกติกามารยาทว่า ได้รวบรวมเสียงเพียงพอแล้ว สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 กันยายนนี้ได้

แต่ในที่ประชุมวิปทางพรรคเพื่อไทยยก 2 เหตุผล คือเรื่องวันประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ นายสราวุธ ทรงศิวิไล ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และภายหลังราชกิจจานุเบกษาประกาศลงวันที่ 30 สิงหาคม 2568 ฉะนั้นข้อสงสัยว่าจะเกิดปัญหากับคำวินิจฉัยหรือไม่ จึงไม่สมควรที่จะเป็นข้อสงสัยอีกต่อไป  แต่พรรคเพื่อไทยได้รวบรวมชื่อ 20 สส. ให้ประธานสภาฯ ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความ อ้างว่ายังอยู่ในกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้ยังไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 กันยายนได้

...

ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลเรื่องการยุบสภา ซึ่งตนเห็นว่าการประกาศยุบสภาต่อสาธารณะ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ไม่สมควร และไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง ในประเพณีปฏิบัติที่ผ่านมา ไม่เคยมีการประกาศยุบสภาต่อหน้าสาธารณชน เพราะอำนาจยุบสภาเป็นอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ ตนและ น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย ได้ทักท้วงในที่ประชุมว่า หนังสือที่เชิญมาประชุมคือให้พิจารณาการบรรจุวาระเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 5 กันยายนนี้หรือไม่ แต่ในที่ประชุมไม่มีการพูดถึง มีเพียง 2 เรื่องที่นำมากล่าวอ้าง ในขณะที่พวกตนได้แสดงเหตุผลว่า ในฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีหน้าที่ต้องรอคำวินิจฉัยของฝ่ายตุลาการ หรือฝ่ายบริหารจะมีความคิดเห็น ว่าจะยุบสภาก็เป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติก็ดำเนินการตามบทบาทหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เมื่อนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง สภาฯ จำเป็นต้องเลือกนายกรัฐมนตรีโดยด่วน และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็ควรดำเนินการตามข้อบังคับ 

“ผมเข้าตามตรอกออกตามประตู วันนี้ยื่นหนังสือ 24 ชม. หรือ 1 วันตามข้อบังคับ ประธานสภาฯ สามารถบรรจุระเบียบวาระเร่งด่วนเพื่อให้สภาฯ ได้มีการประชุมหารือกันได้ แต่ในที่ประชุมวิปไม่มีข้อสรุป และได้นำข้อเสนอของทั้ง 2 ฝ่าย คือพรรคภูมิใจไทยได้เสนอว่าให้เลือกนายกฯ วันที่ 5 กันยายน และทางพรรคเพื่อไทยเสนอให้เลื่อนไปก่อน โดยไปแจ้งต่อประธานสภาฯ ซึ่งอำนาจในการบรรจุระเบียบวาระเป็นอำนาจของประธานสภาฯ โดยแท้ ก็อยู่ที่ประธานสภาฯ ว่าจะให้ความสำคัญกับองค์กรนิติบัญญัติหรือไม่ จะเดินหน้าทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติหรือไม่”

เมื่อถามว่าประธานสภาฯ จะบรรจุทันภายในสัปดาห์นี้หรือไม่ นายภราดร ตอบว่า ทันครับ ตามข้อบังคับ ประธานสภาฯ สามารถบรรจุเป็นวาระเร่งด่วนได้ และหวังว่าประธานจะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติอย่างตรงไปตรงมา และเราในฝ่ายนิติบัญญัติต้องแยกอำนาจให้ชัด ซึ่งมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ คือการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยเร็ว ฉะนั้น ต้องคาดหวังจากประธานสภาฯ ว่าจะเร่งบรรจุระเบียบวาระ

ผู้สื่อข่าวถามต่อ หากมีการแก้เกมยื้อเวลาแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะแก้เกมอย่างไร นายภราดร ตอบว่า ตนเชื่อมั่นว่าประธานรัฐสภาเป็นผู้ใหญ่ และในช่วงที่ไปยื่นหนังสือท่านบอกจะทำตามรัฐธรรมนูญและทำตามข้อบังคับ ซึ่งมั่นใจว่าประธานจะทำหน้าที่เพื่อความเป็นกลางและบรรจุระเบียบวาระในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน 2568