วันนี้ พรุ่งนี้ คงได้รู้กันล่ะว่า พลพรรคประชาชน นำโดย หัวหน้าเท้ง ณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ จะโยนพวงมาลัยให้ ชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย หรือ จะโยนให้ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ปาดหน้ารัฐบาลรักษาการ และทุกพรรคไปขอทำ MOU กับ พรรคประชาชน ซึ่งมีเสียงมากที่สุดในสภา เพื่อแลกกับการโหวตให้เขาเป็นนายกฯ คนที่ 32 ก่อนใคร
การตัดสินใจของพรรคประชาชนคราวนี้ จึงนับเป็นการตัดสินใจที่ผูกพันอยู่กับความจริงที่เรียกว่า “วาระแห่งชาติ” เข้าตำรา “ตาดีได้ ตาร้ายเสีย” และ ผู้เสียหายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่นั่นคือ ประเทศชาติ และคนไทย นี่เอง
ในฐานะผู้มีสิทธิได้-เสียจากการนี้ ขอตัดฉากไปยกตัวอย่างให้เห็นว่า โอกาสได้เสียของคนไทยจะเป็นอย่างไร กับการเสี่ยงทายของ พรรคประชาชน จากเรื่องที่ว่าด้วยการเลือกองค์กรอิสระซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของสมาชิกวุฒิสภา(สว.)
เป็นเวลากว่า 1 ปีแล้วที่ คดีฮั้ว สว. 138 คนสายสีน้ำเงินไม่คืบหน้าไปไหน เพราะปล่อยให้องค์กรอิสระด้วยกันเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับรูปคดี...ธรรมาภิบาล และความโปร่งใส ในสายตาประชาชน จึงไม่เกิดขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดการถล่มลงของ อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ชนิดที่เรียกว่า ราพนาสูร ขณะกำลังก่อสร้างถึงชั้นที่ 30
อาคารสนง.สตง. ซึ่งมีความสูงตามแบบแปลน 33 ชั้น มูลค่ารวม 2,136 ล้านบาท ได้เกิดเหตุถล่มพังพาบลงไม่เป็นท่าเหมือนแพนเค้กซ้อนกันเป็นชั้นๆ เมื่อเวลา 13.20 น. ของวันที่ 28 มี.ค. 68 ภายหลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูดใกล้เมืองมัณฑะเลย์ในประเทศเมียนมา…
...
เหตุการณ์นี้ ทำให้ อาคาร สนง.สตง.แห่งนี้ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอาคารสูงที่สุด และอยู่ไกลที่สุดในโลกที่ถล่มลงเพราะแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว!
ทันทีที่อาคารแห่งนี้ถล่มลง กทม.โดย ชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ ผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร และคณะ รวมถึงบรรดาหน่วยกู้ภัยทั้งหมดที่มีอยู่ ได้ระดมกำลังกันเข้าไปค้นหาผู้รอดชีวิต และผู้เสียชีวิตที่ติดค้างอยู่ใต้ซากอาคารด้วยความเร่งรีบ
ตลอด 21 วันของความพยายามเร่งรีบค้นหาผู้รอดชีวิตไม่มีเงาจากผู้บริหาร สตง. ออกมาแสดงความรับผิดชอบใดๆ คงปล่อยให้ทีมค้นหาของผู้ว่าฯ กทม.และคณะ ทำงานกันไป
ในเวลาเดียวกัน ก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมออกมาให้ความเห็นมากมายว่า มีการออกแบบอาคารผิดเพี้ยนไปจากโครงสร้างทางวิศวกรรม ซึ่งทำให้หลายฝ่ายต้องเข้าไปตรวจสอบซ้ำหลายครั้ง รวมถึงตรวจสอบวัสดุที่ใช้ เช่น เหล็ก และ ปูนซีเมนต์ ว่า ได้มาตรฐานหรือไม่ด้วย
กรณีนี้บานปลายไปจนถึงการเปิดโปงว่าบริษัทร่วมค้า ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูลก่อสร้างอาคารแห่งนี้เป็นบริษัทที่เคยสร้างความเสียหายจากการก่อสร้างอาคารมามาก และอาจจัดอยู่ในกลุ่มของผู้รับเหมาก่อสร้างอาคาร “กากเต้าหู้” ในประเทศจีน จนถูกรัฐบาลจีนดำเนินคดีมาแล้ว
แม้ที่สุดผู้บริหารระดับสูงของ สตง.จะออกมาเผชิญหน้ากับสื่อมวลชน คณะกรรมาธิการจากสภาผู้แทนฯ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานต่างๆ ที่พบความไม่โปร่งใสในการก่อสร้างอาคาร แต่ท้ายที่สุดเรื่องก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆไป คงมีแต่การเข้าจับกุม และดำเนินคดีกับผู้รับเหมาก่อสร้างฝ่ายเดียว
สำหรับผู้ประสบภัยจากเหตุอาคาร สตง.ถล่มนั้น รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯ กทม. รายงานเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 68 อันเป็นวันที่จบสิ้นภารกิจค้นหาชิ้นส่วนผู้สูญหายจากการถล่ม พบว่า มีผู้ประสบภัยทั้งหมด 109 คน บาดเจ็บแต่รอดชีวิตมาได้ 9 คน นิติเวชระบุ มีผู้เสียชีวิต 89 คน สูญหายไปในซากอาคาร 11 คน และ พบชิ้นส่วนที่ระบุไม่ได้ 296 ชิ้น
มีคำถามว่า ผู้ประสบภัยทั้งหมดได้รับการเยียวยาจากเจ้าของอาคารแห่งนี้เพียงใด คำตอบที่ได้ ยังไม่มีตัวเลขชัดเจน นอกจากระบุการช่วยเหลือในภาครัฐว่ากระทรวงแรงงานจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บ, กองทุนเงินทดแทนจ่ายค่ารักษาพยาบาล, กทม.ขยายเวลาขอรับเงินช่วยเหลือ, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) ช่วยเหลือเบื้องต้นพร้อมขออนุมัติงบประมาณเพื่อรักษาพยาบาล และ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ดูแลค่ารักษาพยาบาลให้กับแรงงานทั้งชาวไทย และต่างชาติ
ส่วนภาคเอกชน กิจการร่วมค้าจากอิตาเลี่ยนไทย และไชน่า เรลเวย์ 10 มอบเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บ
อย่างไรก็ตามในบรรดาองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยข้างต้น จะเห็นว่า ไม่มีแม้แต่เงาของผู้บริหาร สตง.ผู้เป็นเจ้าของอาคารแห่งนี้ ออกมาแสดงท่าทีว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยอย่างไร
เหตุที่ สตง.ไม่แสดงท่าทีใดๆ ในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยดั่งว่า ก็เพราะ สตง.ไม่ได้ทำประกันอุบัติเหตุให้แก่บุคคลที่ 3 ซึ่งหมายถึงแรงงานที่เข้าไปทำงานภายในอาคารที่ถล่มลงมา
ผลจากการตรวจสอบของ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พบข้อพิรุธที่คนไทยยังไม่ได้รับรู้อีกมาก เช่น เปลี่ยนสถานที่ก่อสร้างจากที่กรมธนารักษ์ให้ ไปเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ตลาดนัด สวนจตุจักร ในเวลาเดียวกันก็เปลี่ยนผู้ออกแบบอาคาร และผู้รับเหมาก่อสร้างใหม่
และแม้จะทำสัญญาต่างๆ เพื่อเบิกเงินล่วงหน้าไปแล้ว 900 ล้านบาท แต่ในสัญญาที่ทำกับ สตง.ไม่ได้มีการทำประกันภัย และประกันชีวิตให้แก่ผู้รับจ้างแรงงานตามกฎหมายแรงงาน
การไม่ได้ทำประกันภัย และประกันชีวิตดังกล่าว มีผลให้ผู้ประสบภัย ทั้งผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และบุคคลที่ 3 ไม่ได้รับเบี้ยประกัน เมื่อเกิดความวิบัติลงอย่างฉับพลันภายใน 8 วินาทีของอาคาร สตง.ในลักษณะเป็นขนมชั้น หรือแพนเค้ก ซึ่งเป็นข้อห้ามทางวิศวกรรม เพราะนั่นจะส่งผลทำให้แรงงานซึ่งกำลังทำงานอยู่ ไม่มีโอกาสหนีเอาตัวรอดเลย
กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ยังพบด้วยว่า สตง.ซึ่งมีหน้าที่ตรวจการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ได้รับจ้างตรวจบัญชีให้แก่หน่วยงานราชการด้วยกันเอง เฉกเช่นเดียวกับบริษัทตรวจบัญชีรายใหญ่ที่ภาคราชการใช้ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะสตง.ได้รับเงินเดือนค่าจ้างจากรัฐให้ตรวจสอบการใช้จ่ายต่างๆ ของหน่วยงานรัฐอยู่แล้ว
ขณะที่การใช้จ่าย และบริหารเงินงบประมาณของ สตง.กลับไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และกฎข้อบังคับ โดยเก็บเงินที่ไม่ได้ใช้ หรือเงินเหลือจากโครงการที่ขอเบิกจ่ายไป ฝากไว้ในบัญชีธนาคารเกือบ 3,000 ล้านบาท
ถึงจะพบข้อพิรุธมากมายก็ไม่มีผู้ใดสามารถตั้งเรื่องเอาผิดผู้บริหารของสตง. ได้ ถ้า สว.ซึ่งมีอำนาจแต่งตั้ง ปลด ย้าย ไม่ดำเนินการใดๆ
สำคัญก็คือ เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 68 ยังมีประกาศว่า สตง.หรือ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับรางวัลที่ 1 ในกลุ่มองค์กรอิสระ ด้านการประเมินคุณธรรม และความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐประจำปี 2568 (ITA AWARD 2025) ด้วยคะแนนที่สูงเป็นอันดับ 1 ถึง 94.64 คะแนน จากการประเมินของสำนักงาน ป.ป.ช.
ป.ป.ช. ยังให้คะแนนสูงสุดแก่ สตง.ด้วยการเป็นองค์กรอิสระที่โปร่งใส มีคุณธรรม และมีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะด้วย
สำหรับองค์กรอิสระที่ได้คะแนนสูงสุด 5 อันดับจากผลการประเมินคุณธรรม และความโปร่งใสของ ITA ได้แก่ 1. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ได้คะแนน 94.64, 2. สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) 93.47, 3. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้คะแนน 93.18, 4. สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้คะแนน 90.51, และ 5. สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้คะแนน 90.27
ที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นจนจบ คือ เหตุผลประกอบการพิจารณาให้พรรคประชาชน และคนไทยด้วยกันคิดว่าจะเลือกโยนพวงมาลัยให้ใคร
ถ้าไม่ใช่เหตุผลเพราะ เลวน้อยกว่า ก็ไม่ควรเป็นเหตุจากความผิดพลาด สุดวิสัย หรือ เพราะขาดการไตร่ตรอง(ซ้ำซากของคนเจนวาย(วอด))อีก...จริงไหม?!