รัฐบาลเปิดโอกาสให้สิทธิผู้ลี้ภัยสู้รบในเมียนมาทำงานได้ ขณะที่ UNHCR ชื่นชมไทย ต้นแบบดูแลมนุษยธรรมและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น
วันที่ 27 ส.ค. 2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) แถลงชื่นชมรัฐบาลไทยให้สิทธิในการทำงานแก่ผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาที่พำนักระยะยาวในไทย โดยวานนี้ (26 ส.ค. 2568) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลี้ภัยสามารถทำงานในประเทศได้อย่างถูกกฎหมาย และมีส่วนช่วยสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ
“UNHCR ระบุว่าประเทศไทยไม่เพียงแต่ยึดมั่นในหลักการด้านมนุษยธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่ออนาคตของไทยอีกด้วย ผู้ลี้ภัยนอกจากจะสามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวแล้ว ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านการบริโภค และส่งเสริมการสร้างงาน ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของ GDP และความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของประเทศ”
นายจิรายุ กล่าวด้วยว่า นโยบายใหม่นี้ถือเป็นการต่อยอดความเป็นผู้นำและบทบาทสำคัญในการให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยของไทยที่มีมานานกว่า 50 ปี ซึ่งจะถือเป็นมาตรฐานใหม่ในภูมิภาคสำหรับการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยที่ยั่งยืน โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน และอาจเป็นแบบอย่างให้กับประเทศอื่นๆ ที่เผชิญกับความท้าทายที่คล้ายคลึงกันอีกด้วย
“รัฐบาลให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมแก่คนต่างด้าวกลุ่มผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบัน องค์กรระหว่างประเทศและองค์การนอกภาครัฐต่างๆ ปรับลดงบประมาณส่งผลให้รัฐบาลไทยต้องรับภาระในการดูแลคนต่างด้าวเพิ่มขึ้น ดังนั้น ครม. จึงเล็งเห็นว่าเพื่อบรรเทาภาระของรัฐและสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ตลอดจนแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน จึงผ่อนผันให้กลุ่มคนต่างด้าวดังกล่าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเพื่อทำงานเพื่อให้สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวต่อไป” นายจิรายุกล่าว
...
ปัจจุบันพื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมามีจำนวนทั้งสิ้น 9 แห่ง อยู่ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดตาก จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดราชบุรี และมีจำนวนผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาอาศัยในพื้นที่ดังกล่าว จำนวน 77,718 คน โดยเป็นวัยทำงานจำนวน 42,601 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2568)