“กลุ่มนักปกป้องสิทธิหญิง” รวมพลังบุกรัฐสภา ทวงสิทธิแรงงานหญิง–ครอบครัวร้องแก้กฎหมาย ไม่จำกัดสิทธิลาคลอด–ลาดูแลแค่คู่สมรสจดทะเบียน ย้ำ “งานดูแลคือหัวใจของสังคม” 


วันที่ 26 ส.ค. 2568 ที่รัฐสภา ขบวนเคลื่อนไหวผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทยเดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฯ เพื่อเรียกร้องการแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 41/1 ซึ่งมีสาระสำคัญคือการขยายสิทธิลาดูแลครอบครัว–ลาคลอด ไม่ให้จำกัดเฉพาะคู่สมรสที่จดทะเบียน แต่ครอบคลุมถึงคู่ชีวิต ผู้ดูแล หรือผู้ที่อยู่ในความปกครอง เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางสังคมและพันธกรณีสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ (ILO, CEDAW, ICESCR) โดยน.ส.ปรานม สมวงศ์ จากองค์กร Protection International (PI) ในนามผู้แทนเครือข่ายแรงงานหญิงกล่าวว่า แม้จะชื่นชมที่ปรับสิทธิลาคลอดเป็น 120 วัน แต่การจำกัดสิทธิลาเฉพาะคู่สมรสจดทะเบียนถือเป็นการเลือกปฏิบัติ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของแรงงานหญิงไทยที่จำนวนมากไม่ได้จดทะเบียนสมรส ทั้งยังขัดกับพันธกรณีของไทยต่อ ILO และ CEDAW หรือ ICESCR ที่กำหนดสิทธิในการลาคลอด–เลี้ยงดูบุตรและลดความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง ข้อมูลจากเครือข่ายแรงงานระบุว่า ปัจจุบันไทยมีแรงงานหญิงราว 18.56 ล้านคนคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของแรงงานทั้งหมดในประเทศ การคุ้มครองสิทธิแรงงานหญิงจึงไม่ใช่เพียงเรื่องเฉพาะกลุ่ม แต่เป็นเรื่องเชิงโครงสร้างที่เกี่ยวพันกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความมั่นคงสังคม

ครอบคลุมพ่อแม่พี่น้อง

ด้านนางอังคณา นีละไพจิตร สว. และผู้แปรญัตติในร่างกฎหมาย กล่าวว่า สนับสนุนข้อเรียกร้อง โดยชี้ว่าหากกฎหมายจำกัดสิทธิเฉพาะคู่สมรสจดทะเบียน แม่หลังคลอดจะไม่ได้รับการดูแลตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมาย ดังนั้นควรแก้ไขถ้อยคำให้ครอบคลุมผู้ที่อยู่กินกันฉันสามีภรรยาหรือแม้แต่ผู้ที่อยู่ในความปกครองเช่น พ่อแม่หรือพี่น้อง เพื่อให้คุณแม่หลังคลอดมีผู้ดูแลอย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นการปรับแก้เพื่อให้กฎหมายสะท้อนความจริงของสังคมไทย และทำให้ประเทศไทยปฏิบัติตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล รวมถึงพันธกรณีที่ได้ให้ไว้ต่อประชาคมโลก

...


ส่วนนายวิรัตน์ รักษ์พันธ์ ประธาน กมธ.ฯ กล่าวหลังรับหนังสือว่า ในช่วงบ่ายวันนี้คณะกรรมาธิการจะพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเสนอเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ในวันที่ 30 ต.ค.นี้ ข้อเสนอเพิ่มเติมของภาคประชาสังคมถือว่าสำคัญแม้อาจต้องนำไปพิจารณาในลำดับถัดไป แต่ก็เป็นทิศทางที่สามารถปรับใช้เพื่อคุ้มครองสิทธิแรงงานหญิงได้จริงในอนาคต