“จิรายุ” เผยชายแดนไทย-กัมพูชา 7 จังหวัด เหตุการณ์ปกติ กองทัพยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นทั้ง 11 พื้นที่ ย้ำ ไทยเดินหน้าเชิญนานาชาติร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่


เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 17 สิงหาคม 2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้ง 7 จังหวัดเหตุการณ์ปกติ กองทัพไทยยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นทั้ง 11 พื้นที่ และวางรั้วลวดหนามอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาอธิปไตยของไทยไม่ให้ใครล่วงล้ำเข้ามา

นายจิรายุ ย้ำว่า แม้ในขณะนี้กัมพูชายังคงมีความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงในรูปแบบต่างๆ เช่น การสร้างข่าวปลอม จ้างอินฟลูเอนเซอร์ การจัดฉาก สร้างสถานการณ์ใส่ร้ายประเทศไทย การจ้างวานบุคคลสมมติ จึงขอฝากความห่วงใยไปถึงประชาชนและสื่อมวลชนที่ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้ใช้วิจารณญาณ และตรวจสอบข้อมูลจากส่วนราชการก่อนเชื่อหรือแชร์ต่อไป

ส่วนกรณี นายไมเคิล อัลฟาโร ล็อบบี้ยิสต์อเมริกัน ที่อ้างตนว่าเป็นนักข่าวประจำทำเนียบขาว ที่ไปรายงานทางโซเชียลมีเดียที่ชายแดนกัมพูชานั้น หากตอบรับมาไทย ยืนยันพร้อมรับรองค่าใช้จ่ายและพาไปไลฟ์สดจุดแรกที่บริเวณทุ่งกับระเบิดทันทีหากนายไมเคิล มาจริง

ต่อมาเวลา 09.00 น. นายจิรายุ เปิดเผยว่า วานนี้ (16 สิงหาคม 2568) รัฐบาลประสบความสำเร็จในการนำคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ผู้แทนด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้เห็นข้อเท็จจริงในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่เพิ่งถูกฝังโดยฝ่ายกัมพูชา และได้พูดคุยกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เชื่อว่าคณะทูตและผู้แทนจะได้นำข้อมูลที่ได้รับไปรายงานต่อรัฐบาลของตน พร้อมถ่ายทอดความจริงต่อสาธารณชนต่อไป

...

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11-14 สิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลไทยโดยกองทัพบก กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทย ร่วมให้การอำนวยความสะดวกแก่คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross: ICRC) ในการลงพื้นที่รับทราบผลกระทบของพลเรือนจากสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยส่วนราชการจังหวัดร่วมให้ข้อมูลและประสานงาน พร้อมอำนวยความสะดวกในการสัมภาษณ์ประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่อำเภอพนมดงรัก และอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าไทยให้ความสำคัญต่อความร่วมมือกับคณะ ICRC ในการขับเคลื่อนกลไกด้านมนุษยธรรมสากล โดยทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันว่าควรปฏิบัติตามหลักสากลอย่างเคร่งครัด เพื่อคุ้มครองและบรรเทาทุกข์แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

สำหรับการปฏิบัติของ ICRC เป็นไปตามหลักสากล ยึดมั่นในความเป็นกลาง มิได้ตัดสินความถูก-ผิดของคู่ขัดแย้ง แต่เน้นการดำเนินงานด้านมนุษยธรรม โดยเข้ารวบรวมข้อมูลในพื้นที่จริง พร้อมสัมภาษณ์ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แบบส่วนตัวเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง ตามอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 ว่าด้วยการคุ้มครองและบรรเทาทุกข์แก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ ผู้เจ็บป่วย บุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข และผู้นำทางศาสนา จากนั้นจะนำข้อมูลดังกล่าวรายงานให้กับหัวหน้าส่วนราชการของทั้งสองประเทศโดยตรง เพื่อให้รับทราบข้อมูลข้อเท็จจริง โดยจะไม่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นกระบวนการตามมาตรฐานสากลที่ ICRC ยึดถือปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง

นายจิรายุ เปิดเผยอีกว่า ในวันที่ 18-20 สิงหาคม 2568 กองทัพไทยจะนำคณะสังเกตการณ์ชั่วคราว (The Interim Observer Team - IOT) ลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาด้วยเช่นกัน เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงและการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงไว้ในการประชุม GBC ที่ผ่านมา

“ที่ผ่านมาไทยได้เชิญหลายคณะและหลายองค์กรมาลงพื้นที่จริง เพื่อร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ต่อประชาคมโลกถึงความจริงใจของไทยในการทำงานด้านมนุษยธรรม ยืนหยัดปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด พร้อมเดินหน้าเชิญนานาชาติร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาคมโลกว่าประเทศไทยพร้อมทำงานร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อคุ้มครองสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนทุกคน”