“วีระ ธีระภัทรานนท์” ชี้ งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 กู้มาก ใช้เกินจำเป็น ขาดดุลสูงเสี่ยงวิกฤต ย้ำ ประมาณการรายได้เกินจริง ชงปรับลด 10%
วันที่ 13 ส.ค. 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระที่ 2-3 วงเงิน 3,780,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นการพิจารณาเป็นรายมาตรา (วาระ 2) เป็นวันแรก นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่สงวนความเห็นคำแปรญัตติ อภิปรายตอนหนึ่งว่า ตนเป็นห่วงสถานภาพการเงินของประเทศปัจจุบันและอนาคตมาก หากเรายังคิดแบบเก่า และจัดทำคำของบฯ แบบเดิม ในการบริหารจัดการการเงินการคลังของประเทศที่ต้องเผชิญวิกฤติการคลังในอนาคตแน่ ปัญหาสำคัญ คือ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่กำหนดไว้ 3,780,600 ล้านบาท จัดทำแบบขาดดุล มียอดขาดดุล 860,000 ล้านบาท และมีการประมาณการรายได้อยู่ที่ 2,920,600 ล้านบาท ซ้ำยังมีปัญหาคือการประมาณการรายได้เกินจริง แม้ว่า 4 หน่วยงานหลักคือ กระทรวงการคลัง, สำนักงบประมาณ, สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะร่วมประเมินอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2569 จะขยายตัวร้อยละ 1.3 - 3.3% หรือค่าประมาณกลางที่ 2.3% แต่จากสถานการณ์จริง อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ น่าจะต่ำกว่านั้นมาก ส่งผลให้ประมาณการรายได้สูงเกินความจริง ต้องนำเงินคงคลังมาใช้ และตั้งงบประมาณเพื่อชดใช้เงินคงคลังในอนาคต เช่น งบประมาณปี 2569 ที่ตั้งวงเงินรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินคงคลังไว้ถึง 123,541 ล้านบาท
นอกจากนี้ งบประมาณรายจ่ายจำนวนหนึ่ง ไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ เพราะเป็นเพียงการโอนเงิน เช่น การชำระคืนเงินกู้, การชำระดอกเบี้ย, การชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้รัฐวิสาหกิจตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง รวมถึงงบชดเชยเงินคงคลังเมื่อประมาณการรายได้ผิดพลาด ล้วนเป็นภาระทางการคลังที่น่าห่วง อีกทั้งมีการตั้งงบประมาณที่ไม่สอดคล้องกับประมาณการรายได้ ทำให้งบประมาณรายจ่ายสูงเกินจริง ต้องกู้เพิ่ม จัดทำงบประมาณขาดดุลในจำนวนมาก แม้จะอ้างว่าไม่ขัดต่อวินัยการเงิน การคลังและวิธีการงบประมาณก็ตาม ทั้งนี้ การบริหารงบประมาณลักษณะนี้ จะสะสมความเสี่ยงทางการคลังมากขึ้น ยังไม่รวมถึงการจัดเก็บรายได้ต่อจีดีพีที่ลดลง จากเดิม 19-20% เหลือเพียงร้อยละ 14-15% ซึ่งเป็นสัญญาณอันตราย สิ่งที่น่าตกใจคือ ในไส้ในของงบประมาณ คือ เป็นภาระผูกพันสูงถึง 1,656,643 ล้านบาท แบ่งเป็นภาระเดิม 1,304,552 ล้านบาท และภาระใหม่ที่จะเริ่มในปี 2569 อีก 352,091 ล้านบาท จะทำให้อนาคตเราอาจติดกับดักทางงบประมาณ เพราะภาระผูกพันสะสมแก้ไขยาก
...
ซึ่งในปีงบประมาณ 2568 ผมเสนอให้ใช้แนวทาง “Zero Growth” หรือ “การไม่เพิ่มงบรายจ่าย” และ “การใช้งบเท่าที่จำเป็น” และ “ใช้เงินกู้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น” ไม่ใช้จ่ายเกินตัวจนหนี้สินพอกพูนในอัตราเร่งน่ากังวลแบบปัจจุบัน การขาดดุลเกิน 4% ต่อจีดีพี ถือว่าอันตรายมาก เพราะตามมาตรฐานควรไม่เกิน 3% และเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ยิ่งทำให้ปัญหาขาดดุลต่อจีดีพีรุนแรงขึ้น หากอ่านรายงาน ความเสี่ยงทางการคลังประจำปี 2567 และแผนการคลังระดับปานกลาง ปี 2569 - 2572 ที่การประเมินสถานการณ์การเงินของประเทศ พบว่ามีสัญญาณที่อาจเกิดวิกฤติการเงินการคลังในอนาคตได้ หากไม่แก้ไขตั้งแต่วันนี้ และทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ผมเสนอให้ตัดลดงบรายจ่ายปี 2569 ลงร้อยละ 10 เพื่อปรับฐานการเงินการคลังของประเทศให้อยู่ในระดับเหมาะสม และเพื่อป้องกันไม่ให้หนี้สินสะสมปัญหาจนกลายเป็นวิกฤติในอนาคต