“ภูมิธรรม” รับทราบรายงานทหารเหยียบกับระเบิดได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ที่ศรีสะเกษแล้ว สั่งการให้กองทัพดูแลรักษาและเยียวยาอย่างเต็มที่ ย้ำ เตรียมสรุปข้อมูลเยียวยารอบที่ 2 ในทุกมิติ ทั้งทรัพย์สินเสียหายและค่าสาธารณูปโภค


เมื่อเวลา 12.45 น. วันที่ 9 สิงหาคม 2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า เมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานจาก ศบ.ทก.ของรัฐบาลและกองทัพภาคที่ 2 ว่า ได้มีทหารออกลาดตระเวน บริเวณพื้นที่รอยต่อไทยกัมพูชาโดนเอาน์-กฤษณา และเหยียบกับระเบิดได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งได้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 2 ดูแลทหารกล้าที่ได้รับบาดเจ็บอย่างใกล้ชิด


ขณะที่เช้าวันนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การสู้รบ และการดำเนินการตามแผนปฏิบัติพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ พร้อมให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนผู้อพยพบริเวณอาคารวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุรินทร์ อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์


ส่วนการลงพื้นที่วันนี้ นายภูมิธรรม กล่าวว่า การลงพื้นที่ของคณะวันนี้ด้วยความห่วงใยถึงความยากลำบาก ในขั้นต้นผู้พิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังพยายามดูแลพี่น้องประชาชนทุกส่วนอย่างเต็มที่ โดยมีทหารกล้าเป็นแนวหน้าปกป้องดินแดนอธิปไตยของประเทศ “ทุกข์ของพี่น้องประชาชน คือทุกข์อันดับหนึ่งที่ต้องดูแล รวมทั้งทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนด้วย

...


เราก็ได้จัด ชรบ. อส. ดูแลบ้านเรือนประชาชนอย่างดี รัฐบาลได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือ โดยในเบื้องต้นได้เพิ่มเงินในอำนาจผู้ว่าฯ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เป็น 100 ล้านบาท และได้รับความสนับสนุนจากทุกส่วนราชการและภาคีเครือข่าย ตามแผนขณะนี้ อปท. ทั้งหมดลงไปสำรวจความเสียหายของที่พักอาศัยแล้ว หากเสียหายรุนแรงจะหาที่พักให้ก่อนและรีบจัดการซ่อมแซม คอยช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน” นายภูมิธรรม กล่าว


ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ได้แก่

1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในกรณีเสียชีวิตและทุพพลภาพ

2. ขยายวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในกรณีฉุกเฉินและอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด เพิ่มเติมเป็นจังหวัดละ 100 ล้านบาท

3. อนุมัติปฏิบัตินอกเหนือหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 โดยเป็นค่าใช้จ่ายในการอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราว ปรับปรุงสถานที่ เครื่องอุปโภคบริโภค และเป็นค่าตอบแทนให้กับผู้ปฏิบัติงานทุกประเภทที่ได้รับมอบหมายให้ออกปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย


ด้านนายมาริษเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเยี่ยมเยียนให้กำลังใจพี่น้องประชาชน ที่ได้รับผลกระทบ และเยี่ยมเยียนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ รวมถึงติดตามความคืบหน้า การประเมินความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดนเพื่อให้พี่น้องประชาชนกลับบ้านได้ หลังมีผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee) หรือ GBC ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่มาเลเซีย ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญในการหยุดยิง อันจะนำไปสู่สันติภาพและความสงบสุขของชายแดนไทย–กัมพูชา เพราะสันติภาพที่ยั่งยืน ต้องเริ่มจากการหยุดยิง และการแสดงความรับผิดชอบต่อการสูญเสีย


รวมทั้งยังได้ติดตามและรับฟังข้อมูลและข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากพื้นที่ โดยเฉพาะในประเด็นผลกระทบจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาต่อพลเรือน และพื้นที่พลเรือนของไทย รวมทั้งการวางทุ่นระเบิดของกองทัพกัมพูชา ซึ่ง กต. ยังคงเดินหน้าดำเนินการร้องเรียนต่อเวทีสหประชาชาติ และประชาคมโลก เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบ และความยุติธรรมต่อพี่น้องประชาชนไทยผู้บริสุทธิ์ รวมทั้งทหารไทยที่ได้รับการสูญเสีย และบาดเจ็บสาหัสจากการเหยียบกับระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาวางไว้ในดินแดนของไทย อันเป็นการรุกล้ำอธิปไตยและบูรณภาพของประเทศ


“กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการร้องเรียนในเวทีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องใน 2 ประเด็นสำคัญ คือ ในประเด็นทุ่นระเบิด และในประเด็นการโจมตีเป้าหมายทางพลเรือนของกัมพูชา พร้อมย้ำว่าประเทศไทยเคารพ และพร้อมปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงทั้ง 13 ข้อ ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญเพื่อนำไปสู่ความสงบสันติในภูมิภาค แต่ความสูญเสียต่อพลเรือนที่เกิดขึ้นเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องเกิดความรับผิดชอบ จึงต้องเดินหน้าการทำงานใน 2 ส่วนนี้คู่ขนานกันไป”


ทั้งนี้ ศบ.ทก. ได้ประกาศให้ประชาชนที่เคยอยู่ในพื้นที่เรดโซน สามารถเดินทางกลับบ้านตั้งแต่เมื่อวานนี้ ซึ่งมีประชาชนเริ่มทยอยเดินทางกลับภูมิลำเนาในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ อุบลฯ ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ โดยกระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงกลาโหม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดรถ และสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน พร้อมทั้งมาตรการเยียวยา ที่วันนี้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ ได้เรียกประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัด เพื่อเร่งดำเนินมาตรการเยียวยา การจ่ายเงินชดเชย บรรเทาความเดือดร้อน ให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบในพื้นที่ดังกล่าวเป็นการเร่งด่วน