โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ห่วงการเจรจา GBC ไร้ผล “กัมพูชา” ไร้ความรับผิดชอบเก็บกู้วัตถุระเบิดที่วางไว้ จี้รัฐบาลเร่งดำเนินคดี “ฮุน เซน” ตามกฎหมายไทยและอาชญากรสงคราม


วันที่ 8 ส.ค. 2568 พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ในการเจรจา GBC ที่ผ่านมา มีความเป็นห่วงในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความจริงใจของประเทศกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ว่าจะมีการหยุดยิงจริงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมากัมพูชารับปากอะไรไปแล้วบิดพริ้วโดยตลอด และที่สำคัญ ข้อตกลง 2 ข้อ กัมพูชาไม่ยอมเอาลงในบันทึกการประชุม GBC ในครั้งนี้ คือ ความร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ประเทศกัมพูชาได้นำไปวางไว้ในเขตพื้นที่ต่างๆ และการให้ความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งทั้งสองข้อนี้มีผลกระทบต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก

ให้ติดตามการเจรจารอบต่อไป

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า อยากให้พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนจับตามองรัฐบาลในการเจรจาต่อไป และให้กำลังใจทหารขอให้ยืนยันการใช้มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งเป็นสากลและใช้ในทุกประเทศในปัจจุบันนี้ มากกว่า 1:200,000 ตามแนวทางที่ประเทศกัมพูชาต้องการ หากมีการยินยอมให้ใช้มาตราส่วน 1:200,000 ประเทศไทยอาจจะเสียพื้นที่แผ่นดินไทยเหมือนกับที่เคยเสียดินแดนใกล้กับพระวิหารเมื่อปี พ.ศ. 2556

ถาม 2 ตระกูลรับผิดชอบอย่างไร

ในส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียชีวิตและการได้รับบาดเจ็บของทหารและประชาชนในการสู้รบในครั้งนี้ ความเสียหายของบ้านเรือนที่เกิดขึ้น ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการอพยพพี่น้องประชาชนในช่วงที่ผ่านมา ทางตระกูลฮุนและตระกูลชินจะมีส่วนในการรับผิดชอบอย่างไร  การที่ น.ส.แพทองธารฯ นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวแก้ตัวว่าการเจรจาส่วนตัวระหว่างลุงกับหลาน “ตัวเองไม่ได้อะไร และประเทศชาติก็ไม่เสียหายอะไร ตอนนี้ท่านนายกฯ คงตระหนักดีแล้วว่าประเทศชาติเสียหายอะไรบ้าง ทหารและประชาชนเสียชีวิตไปจำนวนเท่าไหร่ เกิดความเสียหายในภาพรวมของประเทศอย่างไร ซึ่งกรณีดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญสามารถนำผลจากการเจรจาของ น.ส.แพทองธาร กับนายฮุน เซน ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาไปเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้อย่างชัดเจน”

...

เร่งเตรียมแรงงานทดแทน

โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ยังเรียกร้องให้ทางรัฐบาลต้องเป็นแกนกลางในการดำเนินคดีกับนายฮุน เซน ในคดีอาญาของไทยและอาชญากรสงคราม พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากนายฮุน เซน และประเทศกัมพูชาโดยเร็ว นอกจากนี้ การเตรียมความพร้อมในการรองรับปัญหาแรงงานชั้นต่ำ เพื่อทดแทนแรงงานจากประเทศกัมพูชา โดยใช้แรงงานทดแทนจากเมียนมา บังกลาเทศ หรือประเทศอื่นๆ มาทดแทน เพื่อไม่ให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจมีผลกระทบ