“ประเสริฐ” นั่งหัวโต๊ะประชุม คกก. ตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อป้องกันข่าวปลอม นัดแรก ยืนยันรัฐบาลเอาจริงเดินหน้าปราบ “ข่าวปลอม–บัญชี IO” ตั้ง KPI ตรวจสอบภายใน 3 ชั่วโมง
วันที่ 7 สิงหาคม 2568 เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อป้องกันข่าวปลอม ครั้งที่ 1/2568 โดยมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นรองประธาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย อาทิ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น
ภายหลังการประชุมฯ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พลตำรวจตรีศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (ผบก.สอท.1) และรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ นางสาวยุพาภรณ์ ศิริกิจพาณิชย์กูล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงฯ ได้ร่วมกันแถลงข่าว
นายประเสริฐ กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์วันนี้ว่า สืบเนื่องจากปัจจุบันมีปริมาณข่าวปลอมเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ส่งผลในด้านลบทำให้เกิดความสับสน ไม่เข้าใจและเกิดความแตกแยกระหว่างประชาชนในสังคม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและมีความละเอียดอ่อน ดังนั้นในการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ จึงได้มีการพูดคุยกันหลายเรื่อง โดยที่ประชุมได้รับทราบผลการประชุมหารือกับ social media platform ต่าง ๆ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีได้ขอความร่วมมือในการปราบปรามข่าวปลอม และบัญชี IO ซึ่งทาง platform ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยในที่ประชุมได้มีการตกลงกัน 5 ข้อ ดังนี้
...
1. ให้ความสำคัญกับข่าวที่เกี่ยวข้องกับความไม่สงบในชายแดนเป็น priority ในการสนับสนุนการจัดการข่าวปลอม
2. การใช้เทคโนโลยี AI รวบรวมและตรวจจับข่าวปลอมที่มีการยืนยันแล้วและดำเนินการจัดการข่าวปลอมบนทุกช่องทาง
3. การเพิ่มปริมาณเจ้าหน้าที่เพื่อรองรับการดำเนินการตามมาตรการการจัดการข่าวปลอม
4. กระบวนการดำเนินการด้าน IO บริหารจัดการข่าวในด้านจิตวิทยา หากมีการตรวจพบขอให้ส่งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Transactions Development Agency: ETDA) เพื่อแจ้งแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ดำเนินการระงับเผยแพร่
5. การยกระดับการยืนยันตัวตนของแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ (Account Verification) โดยผู้ที่จะลงโฆษณาต้องเป็นบริษัทฯ ซึ่งมีการยืนยันตัวตน ตอนนี้ได้เริ่มดำเนินการไปบางส่วนแล้ว
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุมได้มีการพิจารณาในการจัดการข่าวปลอม (work flow) ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรมประชาสัมพันธ์ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่จะทำงานกันอย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว โดยได้ตั้ง KPI หรือเป้าหมายไว้ภายใน 3 ชั่วโมง ต้องสามารถวิเคราะห์ข่าวและแจ้งกลับไปได้ทันทีว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่เท็จจริงอย่างไร ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถ้าประชาชนพบเห็นข่าวปลอม สามารถเข้ามาแจ้งได้ที่ website: www.antifakenewscenter.com ของ AFNC หรือสามารถพิมพ์คำว่า AFNC เข้าไปที่ google รัฐบาลจะดำเนินการตรวจสอบให้ทันที
ส่วนการดำเนินคดีกับผู้กระจายข่าวปลอมนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เข้าไปดำเนินการจัดการในเรื่องนี้ และเรื่องการปิด IP address ได้มอบหมายให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีผู้ให้บริการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำ IO และดำเนินการตามมาตรการที่เหมาะสม พร้อมรายงานผลต่อที่ประชุมทราบในการประชุมครั้งต่อไป
นายประเสริฐ ย้ำว่า เมื่อได้รับข้อมูลข่าวที่น่าสงสัย ต้องทำการตรวจสอบ หากพบว่าเป็นข่าวปลอม ต้องกระจายผลให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที พร้อมให้ข้อมูลข่าวที่ถูกต้อง เพื่อให้ประชาชนทราบข้อเท็จจริง โดยจะมีการเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษไปทั่วโลก ผ่านช่องทางกรมประชาสัมพันธ์ และสื่อต่างประเทศด้วยเพื่อให้ทุกหน่วยงานได้รับทราบ
ทั้งนี้จากข้อมูลสถิติของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 31 กรกฎาคม 2568 ได้ทำการคัดกรองจำนวนข้อความที่น่าสงสัยและต้องตรวจสอบแล้วกว่า 1,100 ล้านข่าว ซึ่งเทคโนโลยีที่ใช้ในปัจจุบัน ช่วยให้สามารถตรวจสอบได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“ขอเตือนทั้งสื่อ influencer หรือผู้ที่ไม่หวังดีทั้งหลาย ว่ารัฐบาลเอาจริงแน่นอน อยากให้ท่าน post ข้อความต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะการนำเสนอข่าวที่บิดเบือน ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง” รองนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำ