ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวการณ์ที่เปรียบเสมือนไม่มีเจ้าภาพในการบริหารจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา กระทั่งต้องยอมให้มีการเจรจาแบบไตรภาคีโดยคณะกรรมการทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (GBC) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียในระหว่างวันที่ 4 - 7 ส.ค.นี้

โดยมีมาเลเซีย และมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และ จีน เข้าร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งนัยว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ อาจจะเดินทางไปร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย หลังจากที่ขู่ไทยมาแล้วว่าถ้าไม่มีการหยุดยิง เขาอาจจะใช้มาตรการทางภาษีศุลกากรตอบโต้ทางการค้ากับไทยและกัมพูชา โดยไม่พิจารณาความจริงว่า ใครเป็นฝ่ายรุกราน และสมควรได้รับการประณาม

มีผู้ตั้งความหวังว่า การประชุมไตรภาคีครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ผืนแผ่นดินที่กัมพูชาไม่เคยหยุดรังควาน ให้ร้าย และสร้างข่าวเท็จกล่าวหาประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

นับตั้งแต่การค่อยๆ รุกล้ำเข้ามาครอบครองพื้นที่ปราสาทพระวิหารซึ่งเป็นของประเทศไทย หลังฝรั่งเศส ประกาศปักปันเขตแดนมาตั้งแต่ปี 1908 โดยฝ่ายไทยต้องยอมเสียดินแดนพระตะบอง เสียมเรียบ และศรีโสภณ เพื่อแลกจันทบุรี กับ ตราดกลับคืนมา 

ในปี 2551 การค่อยๆ ขยับเข้ามารุกล้ำผืนแผ่นดินไทย ด้วยการให้ชนชาวกัมพูชาเข้ามาท่องเที่ยวก็ดี มาสร้างบ้าน ร้านค้าแผงลอยก็ดี ฝ่ายไทยไม่เคยไล่พวกเขาออกไป ในขณะพื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหารซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อน 4.5 ตร.กม.ยังไม่มีความชัดเจนจากคำพิพากษาเดิมของศาลโลก 

นั่นทำให้กัมพูชาเหิมเกริม ยื่นขอจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และศาลโลกก็มีคำตัดสินเป็นเอกฉันท์ให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดนทั้งหมดของยอดเขา แม้ทางขึ้นปราสาทจะอยู่ในเขตแดนไทยก็ตาม 

...

ความโกรธแค้น เกลียดชัง จนเกิดเป็นบาดแผลลึกระหว่างไทยกับกัมพูชาอย่างไม่มีท่าทีจะจบส้ินนี้ ดำเนินมาตามลำดับ และใช้กลยุทธ์เดิมๆ ทุกครั้ง ภายใต้การนำของ ฮุนเซน ตลอดช่วงเวลาที่เขามีตำแหน่งเป็นนายกฯ กัมพูชา โดยที่ฝ่ายไทยไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากยืนยันว่า "ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด”

การยุยงปลุกปั่น กล่าวหา และสร้างข่าวเท็จกับไทยดำเนินมาเรื่อย เหมือนๆ เมื่อครั้งมีการนำเสนอบทความโจมตีนักแสดงหญิงชื่อดังของไทยว่าได้ให้สัมภาษณ์ว่า “นครวัดเป็นของไทย และจะไม่เดินทางไปกัมพูชาอีก จนกว่าจะได้นครวัดคืน” 

บทสัมภาษณ์นี้ ไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่ได้สร้างความเข้าใจผิด และความโกรธแค้นในหมู่ชาวกัมพูชาเป็นวงกว้าง และนั่นทำให้เกิดการจลาจลไปทั่วกรุงพนมเปญ มีการจุดไฟเผาสถานทูตไทย และขยายวงกว้างไปจนถึงธุรกิจของคนไทย ก่อนจะเข้าทุบทำลาย และขโมยเอาทรัพย์สินมีค่าทั้งหลายของคนไทยไปหมด โดยที่ประเทศไทยไม่ได้ตอบโต้ใดๆ

ครั้งนี้ก็เช่นกันที่กัมพูชาย่ามใจ ทำหนังสือถึงศาลโลกที่กรุงเฮก ขอเคลียร์ 4 พื้นที่พิพาท ตั้งแต่สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาควาย โดยเชิญไทยเข้าร่วมการประชุมด้วย แต่ไทยปฏิเสธไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี 1960

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่กัมพูชา โดย ฮุน มาเนต นายกฯ คนปัจจุบันซึ่งเป็นบุตรชายของ ฮุนเซน จะยื่นเรื่องต่อศาลโลก รัฐบาลกัมพูชาได้ผลักดันให้ชนชาวกัมพูชาเดินทางเข้ามายังพื้นที่ตามแนวชายแดนในเขตอธิปไตยไทยมาอย่างต่อเนื่อง และ ขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายมาอยู่ในดินแดนไทยถึง 4 จังหวัด ใน 6 อำเภอ 

พล.ท.กนก เนตระคะเวสนะ อดีตแม่ทัพภาค 2 และผบ.กองกำลังสุรนารี ระบุว่า ฮุนเซน กระหายที่จะได้ครอบครองแผ่นดินไทยมานานแสนนานแล้ว โดยเฉพาะปราสาทพระวิหาร ถึงขนาดจับตัวคนไทยที่ขึ้นไปนั่งปฏิบัติธรรมไป 3 คน โดยกล่าวหาว่ารุกล้ำแผ่นดินกัมพูชา

ความพยายามเดินเท้าเข้ามาอย่างต่อเนื่องและปักหลักลงรากฐานในพื้นที่ชายแดนไทย 11 จุด ตลอดช่วงเวลานับสิบปีนี้ แม้ทหารในพื้นที่ได้แจ้งให้ส่วนกลางทราบเป็นร้อยๆ ครั้งมาตลอดเพื่อขอให้ผลักดันออกไป แต่ก็ถูกขบวนการของผู้มีอำนาจขณะนั้นห้ามไม่ให้มีการโจมตีกัมพูชา หรือผลักดันกัมพูชาออกจากพื้นที่ จนกระทั่งกัมพูชาสามารถยึดพื้นที่จำนวนมากได้ สร้างกระเช้า ปักธงกัมพูชา และสร้างสิ่งถาวรเพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่าเป็นเจ้าของผืนแผ่นดินนี้ 

รวมทั้งสร้างเสาไฟฟ้า ดึงสัญญาณโทรคมนาคมข้ามไปอีกฝั่งสำเร็จ เรื่องนี้ กสทช. จำเป็นต้องเข้ามาตรวจสอบที่มาที่ไปอย่างละเอียด และยังสามารถวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลได้ทั้งช่องบก อานม้า และตาควาย 

พล.ท.กนก ย้ำว่า สมัยที่ตนทำหน้าที่อยู่ ไม่เคยมีการอนุญาตให้เปิดบ่อนตามชายแดนได้ เพราะคนไทยทั้งนั้นที่เข้าไปเล่น แต่วันนี้เปิดได้ด้วยเหตุผลใดต้องไปสืบ หาเหตุผลเอา อาจเป็นเพราะมีคนที่ไม่มีจิตใจรักชาติรักผืนแผ่นดินไทยเป็นคนอนุญาตให้ทำ 

“เราได้รับการบอกกล่าวว่า ห้ามยิง ถ้ากัมพูชาใช้ปืนเล็กให้ใช้ปืนเล็ก ถ้าใช้ปืนใหญ่ก็ให้ใช้ปืนใหญ่ แต่กัมพูชาเดินเท้าเข้ามา ทหารไทยเราทำอะไรไม่ได้ ถึงเวลาทหารไทยเดินลาดตระเวนกลับถูกทหารกัมพูชาไล่ยิง กัมพูชาจึงจัดว่าเหลี่ยมจัด อย่าได้วางใจเด็ดขาด”

ในการประชุม GBC ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องนำบันทึกทั้งหมดที่กัมพูชากล่าวเท็จ และรุกรานไทยให้ที่ประชุมไตรภาคีพิจารณาให้ครบถ้วน พล.ท.กนก ให้ความเห็นว่า ในช่วงที่ฝ่ายไทยเดินทางไปทำสัญญาหยุดยิงกับกัมพูชาที่มาเลเซีย ก็ไม่ได้มีการปรึกษากับกองทัพว่าควรหยุดยิงจริงๆ ได้เมื่อใด ในขณะที่ทหารไทยกำลังต่อสู้เพื่อเอาผืนแผ่นดินไทยกลับคืนมา แต่น่าเสียดายที่เวลาหมดลงเสียก่อน

การเจรจาไตรภาคีเพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะทำให้กัมพูชาหยุดยุยงปลุกปั่น สร้างข่าวเท็จให้ร้ายประเทศไทย เช่นเดียวกับการยุติการรบที่ไม่มีวันทำสัญญาหยุดยิงกับคนปลิ้นปล้อน และลวงโลกอย่างกัมพูชาได้

ที่น่ากลัวว่าท้ายสุด ไทยอาจแพ้กัมพูชา ก็ตรงที่ยังมีขบวนการแสวงหาผลประโยชน์กับบ่อนพนัน การค้ามนุษย์ และศูนย์กลางอาชญากรรมโลกของกัมพูชาอยู่นั่นเอง