1 ใน 3 ของกูรูด้านกฎหมายคนสำคัญของประเทศยืนยันว่าหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ “อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 22 ส.ค.68 และ หาผู้เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งนายกฯคนใหม่ไม่ได้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเพราะความไม่เหมาะสม หรือ เพราะมีเสียงข้างน้อย ก็สามารถให้สภาผู้แทนราษฎรหารือกันเพื่อตัดสินใจใช้บทบัญญัติในมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับ พ.ศ. 2560…
ตัดสินใจอย่างไร ให้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้
ขอขยายความข้างต้นสักนิดว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ นายกฯ แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งแล้ว รัฐบาลปัจจุบันที่มี นายภูมิธรรม เวชชัย รักษาการนายกฯ ต้องเสนอรายชื่อผู้ที่คิดว่ามีความเหมาะสมตามบัญชีแคนิเดตนายกฯ ให้สภาพิจารณาใหม่
ในกรณีนี้ แคนดิเดตนายกฯคนที่ 3 ของพรรคเพื่อไทยคือ นายชัยเกษม นิติสิริ เรียงลำดับต่อไปคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และอดีตนายกฯ, นายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ รองนายกฯ และ รมว.กระทรวงพลังงาน คนสุดท้ายคือ นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ อดีตรมว.พาณิชย์ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปปัตย์
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญกำหนดว่า รักษาการนายกฯ ไม่มีอำนาจในการยุบสภา ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของสภาจะพิจารณาตามขั้นตอนที่วางไว้ในการนำเสนอบุคคลตามบัญชีรายชื่อดังกล่าวให้สมาชิกที่มีอยู่ 494 คน ลงมติเลือก
อย่างไรก็ตาม ปัญหาอยู่ที่ว่า ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ จะต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนฯ หรือ 248 คน แต่เสียงที่แต่ละฝ่ายคือ ทั้งรัฐบาล และฝ่ายค้านมีอยู่ในมือ แทบไม่ขาดจากกันนัก หมายความว่า มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งมาอย่างปริ่มน้ำ
...
เช่น รัฐบาลมีพรรคร่วม 11 พรรคได้แก่ เพื่อไทย 140 เสียง, รวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง, กล้าธรรม 25 เสียง, ประชาธิปัตย์ 25 เสียง, ชาติไทยพัฒนา 10 เสียง, ประชาชาติ 9 เสียง, ชาติพัฒนา 3 เสียง, ไทรวมพลัง 2 เสียง, เสรีรวมไทย 1 เสียง, ประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง, และ ไทยก้าวหน้า 1 เสียง รวม 255 เสียง…
ฝ่ายค้าน มีพรรคประชาชน 143 เสียง, ภูมิใจไทย 69 เสียง, พลังประชารัฐ(ฝ่ายลุงป้อม) 20 เสียง, ไทยสร้างไทย 6 เสียง, และเป็นธรรม 1 เสียง รวมกันได้ 239 เสียง
แม้รัฐบาลจะมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งมา 7 เสียง แต่ก็ปริ่มน้ำเต็มที หากมีผู้ไม่เห็นด้วยกับรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่นำเสนอมา หรือ ถ้าเงินยังคงซื้อทุกสิ่งได้...อะไระจะเกิดขึ้น?!
เรื่องนี้จะทำให้การเมืองไทยในเดือนสิงหาคมข้างหน้าเข้ามุมอับ และเดินมาถึงทางตัน เพราะหาตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ไม่ได้ ขณะเดียวกัน ก็ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ไม่ได้เช่นกัน!!
ยังมีความจริงอีกเรื่องที่ต้องยอมรับ ก็คือ ความนิยมในตัวผู้นำรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยลดต่ำลงถึงขีดสุด โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สามารถรับมือในการสู้รบกับรัฐบาลเขมรภายใต้การนำของพ่อลูกตระกูลฮุนที่ล้ำหน้าไทยไปหลายก้าวได้ แม้พวกเขาจะเป็นฝ่ายรุกราน และรุกล้ำอธิปไตยของประเทศไทยก่อนก็ตาม
ปัญหานี้ทำให้ศรัทธาในตัวผู้นำรัฐบาลเสื่อมทรุดลงอย่างหนัก พาลไปถึงนักการเมืองต่างๆ ในพรรคร่วมรัฐบาลด้วย
ที่หนักหนากว่านั้นก็คือ รัฐบาลปล่อยให้ภาระหน้าที่ในการทำความเข้าใจต่อชาติต่างๆ บนเวทีโลกอืดอาดล่าช้า จนถูกบิดเบือนจากกระแสข่าวเท็จของฝ่ายตรงกันข้าม...หนำซ้ำยังโยนภาระทั้งหมดให้เป็นหน้าที่ของ “กองทัพ” ทั้งในการรบ และการใช้กฎบัตรกฎหมายระหว่างประเทศ
ความไม่เชื่อมั่นในรัฐบาล ทำให้เกิดความสับสน และแยกแยะไม่ได้ว่า ที่สุดการรบที่นำมาซึ่งความสูญเสียชีวิตพลเรือน ทหาร และทรัพย์สินของคนไทยนี้ เกิดขึ้นจากปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศ หรือ แค่ปัญหาของคนในสองตระกูลระหว่าง พ่อลูกตระกูลชินวัตร กับ พ่อลูกตระกูลฮุน!
ส่งผลโดยรวมต่อความเบื่อหน่าย และไม่ต้องการนักการเมืองโดยรวมซึ่งเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะนักการเมืองไม่ได้ใช้โอกาสที่ประชาชนมอบให้เป็นตัวแทนในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มที่ นอกจากยึดถือเอาประโยชน์ตนเป็นที่ตั้ง
สถานการณ์เช่นนี้สอดรับกันพอดีกับการไม่มีบทบัญญัติเรื่องการเลือกผู้มีความเหมาะสมขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อไม่มีบทบัญญัติใด รัฐธรรมนูญฉบับปี 60 จึงกำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้วินิจฉัยกรณีนั้นๆ ให้เป็นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ส่วนสภาตัดสินใจกันอย่างไร จะใช้วิธียุบสภา หรือ ให้มีนายกฯ จากเสียงข้างน้อย หรือจากคนนอก ก็ให้ประธานสภานำความขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เพราะตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนี้...พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจแทนปวงชนได้
ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร จากคณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า พระมหากษัตริย์ คือ ผู้ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการยุบสภา และแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี มาตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทั้งในยามปกติ หรือในยามถึงทางตันที่รัฐธรรมนูญไม่มีมาตราใดบัญญัติไว้เฉพาะ
ดังนั้น มาตรา 5 จึงไม่ใช่การคืนพระราชอำนาจ แต่ยังคงเป็นการขอให้พระองค์ใช้พระราชอำนาจตามเจตจำนงค์ของสภาผู้แทนราษฎรที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน และพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้นแทนปวงชน