“จิรายุ” โต้ “ฮุน มาเนต” ไม่จริงใจหยุดยิง แจง “อันวาร์” ต่อสายตรงคุย “ภูมิธรรม” 2 ต่อ 2 ไม่มีนายกฯ กัมพูชา พร้อมวอนสื่อต่างประเทศตรวจสอบข้อมูลรายงานให้ครบ หลังพาดหัวข่าวอาจทำให้ทั่วโลกเข้าใจไทยผิด
วันที่ 26 ก.ค. 2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) กล่าวถึงกรณีที่สมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเลือกใช้เฟซบุ๊ก กล่าวหาไทยว่า “ตนเองยอมตกลงหยุดยิงกับประธานอาเซียนแล้ว แต่ไทยเปลี่ยนใจปฏิเสธข้อตกลงรอคุยใหม่ว่า ในการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างนายอันวาร์ อิบราฮิม ประธานอาเซียน เป็นการโทรศัพท์พูดคุยระหว่างนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย รักษาราชการนายกฯ เป็นการต่อสายสองต่อสอง ไม่มีสมเด็จฮุน มาเนต นายกฯ สนทนาด้วยแต่อย่างใด เนื้อหาการหารือเป็นการเสนอหยุดยิงในเวลา 24.00 น. ซึ่งนายภูมิธรรมรับข้อเสนอไว้พิจารณา โดยขอตรวจสอบสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาทั้ง 7 จังหวัด จากนั้นฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลไทยได้รายงานว่า กองทัพกัมพูชาไม่มีท่าทีว่าจะลดการเผชิญหน้า ยังระดมกำลังยิงปืนใหญ่เข้าพื้นที่ของพลเรือนอย่างต่อเนื่อง นายภูมิธรรมจึงได้โทรศัพท์กลับไปชี้แจงกับประธานอาเซียนอีกครั้งว่า กองทัพกัมพูชายังเป็นภัยคุกคามต่อประเทศไทย ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นเพราะท่าทีของกัมพูชายังไม่หยุดเสริมกำลัง และระดมยิงพื้นที่พลเรือนอย่างไร้มนุษยธรรมเป็นอาชญากรรมสงคราม ที่สมเด็จฮุน มาเนต กล่าวหาไทยไม่ยอมรับข้อตกลงเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นจริง การหยุดยิงใด ๆ ต้องมีเงื่อนไขที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในพื้นที่ โดยฝ่ายไทยต้องดูแลความปลอดภัยของประชาชนและขณะนี้ การกระทำของฝ่ายกัมพูชายังคงแสดงออกถึงความไม่จริงใจ และยังคงทำให้คนไทยตกอยู่ในอันตราย ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติและพี่น้องประชาชนจนถึงที่สุด
...
นายจิรายุ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศบางสำนัก เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยมีการนำเสนอข้อความและภาพข่าวในลักษณะที่คลาดเคลื่อนจากความจริงหลายประการ เช่น การพาดหัวข่าวว่า “Thailand bombs Cambodia with F-16s” โดยไม่บอกให้ชัดเจนว่าเป็นการตอบโต้หลังจากที่ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงใส่ฝ่ายไทยก่อน การใช้ภาพที่ถ่ายจากฝั่งประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นพลเรือนชาวไทยหลบหนีเข้าไปยังหลุมหลบภัยในฝั่งไทย แต่กลับบอกว่าเป็นภาพของพื้นที่กัมพูชา การใช้ภาพร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน ปตท.ในประเทศไทยที่กองทัพกัมพูชาระดมยิงด้วยอาวุธร้ายแรง แต่กลับไม่บอกว่าเป็นสถานที่พลเรือนของฝั่งไทยและกลับไม่ได้ชี้แจงแหล่งที่มาของการโจมตี ทำให้ผู้อ่านเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นผลจากการทิ้งระเบิดโดยฝ่ายไทย รัฐบาลไทยทราบถึงความตั้งใจดีของสื่อมวลชนในการรายงานข่าวและเข้าใจดีว่า สถานการณ์การโจมตีที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดจากฝ่ายกัมพูชา ทำให้รีบร้อนในการรายงาน จนไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริง แต่ขอให้ดำเนินการแก้ไขเพื่อความถูกต้องของข่าวสาร และขอย้ำท่าทีของรัฐบาลไทยว่าเรายึดมั่นหลักสันติวิธีและดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อปกป้องอธิปไตย และความปลอดภัยของประชาชน การดำเนินการของฝ่ายไทยในครั้งนี้ เป็นการตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองตามหลักการสากล ภาพที่ใช้ประกอบข่าวบางภาพเป็นภาพเหตุการณ์ในฝั่งประเทศไทย ไม่ใช่ในกัมพูชา การรายงานข่าวที่ขาดความครบถ้วนในบริบท อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงในระดับนานาชาติ รัฐบาลยินดีให้ข้อมูลอย่างเปิดเผย บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง หากสื่อมวลชนมีข้อสงสัย หรือประเด็นที่ยังไม่ชัดเจนสามารถติดต่อได้ทั้งกระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย และศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.)”