กระทรวงการต่างประเทศ แถลงเตรียมแสดงจุดยืนเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงต่อ UNSC ย้ำถูกกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริง UNESCO หลังถูกกัมพูชากล่าวหาไทยทำลายเขาพระวิหาร ยอมรับเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมายังมีการปะทะกันอยู่ เสียชีวิตแล้ว 14 ราย
วันที่ 25 ก.ค. 2568 เมื่อเวลา 16.00 น. นายนิกรเดช พลางกูร โฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในขณะนี้ หลังมีการเปิดฉากการโจมตีของกัมพูชาเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 ยังคงมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงช่วงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งยังคงยืนยันว่าทางกัมพูชาเป็นฝ่ายที่มีการโจมตีประเทศไทยก่อน ทางกองทัพได้มีการเก็บกู้วัตถุระเบิดที่ตกค้างบริเวณจุดเกิดเหตุ บริเวณปั๊มน้ำมันในอำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน อีกทั้งเมื่อวานนี้กระทรวงการต่างประเทศได้มีการออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชา และขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการปะทะที่เริ่มต้นขึ้นโดยฝ่ายกัมพูชา
ชีวิตของทหารไทยและพลเรือนที่บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตลงในทรัพย์สินของพี่น้องที่ได้รับความเสียหาย ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น และไม่อาจยอมรับได้ โดยขอย้ำว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ อีกทั้งเป็นการละเมิดศีลธรรมขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ที่ควรได้รับการประณามอย่างเต็มที่จากประชาคมระหว่างประเทศ
นายนิกรเดชกล่าวว่าจากรายงานกระทรวงสาธารณสุขเมื่อเวลา 12:10 น. ของวันนี้ (25 ก.ค. 68) มีรายงานยอดผู้เสียชีวิต 14 ราย โดยเป็นพลเรือน 13 ราย และทหาร 1 ราย ซึ่งในนี้มีเด็กอายุ 8 ปี และ 15 ปีร่วมอยู่ด้วย ในส่วนของผู้บาดเจ็บมีทั้งหมด 45 ราย แบ่งเป็นพลเรือน 30 ราย และพลทหาร 15 ราย ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ใน 4 จังหวัดชายแดน ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดอุบลราชธานี
...
ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการเร่งอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงไปยังจุดปลอดภัย และขอให้พี่น้องทุกท่านมั่นใจว่า ฝ่ายกำลังทุกฝ่ายกำลังทำงานอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งแผ่นดินแดนของไทย พร้อมทั้งดูแลความสงบและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน
อนึ่ง ความคืบหน้าในเรื่องการดำเนินการมาตรการทางด้านการทูตต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา วันนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศได้มีการส่งหนังสือประท้วงไปยังฝ่ายกัมพูชา รวมไปถึงการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งล่าสุดได้มีการยื่นหนังสือไปยังเลขาธิการสหประชาชาติ
นอกจากนี้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยของสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้มีการเข้าพบเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรปากีสถาน ณ นครนิวยอร์ก ในฐานะประธาน UNSC คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประจำเดือนกรกฎาคม 2568 เพื่อยื่นหนังสือชี้แจงการใช้กำลังทหารที่เริ่มโดยฝ่ายกัมพูชา รวมถึงการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงขอให้เวียนหนังสือของไทยเป็นเอกสารของ UNSC เพื่อให้ประเทศในสมาชิกได้รับทราบอย่างเป็นทางการ
ซึ่งในเวลา 15:00 น. ของนครนิวยอร์ก หรือเวลา 02:00 น. ของไทย คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจะมีการประชุมแบบปิด (private meeting) เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งการประชุมในลักษณะนี้จัดขึ้นเป็นปกติเมื่อมีเหตุการณ์ปะทะระหว่างสองประเทศเกิดขึ้น โดยไม่ใช่เป็นการประชุมเพื่อลงมติแต่อย่างใด แต่เป็นการหารือโดยไม่เป็นทางการ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประกอบไปด้วยสมาชิก UNSC 15 ประเทศ และประเทศไทยและกัมพูชาอีก 2 ประเทศ ในฐานะประเทศคู่กรณี ซึ่งในส่วนผู้แทนไทยจะมีเอกอัครราชทูตถาวร ณ นครนิวยอร์ก เป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้เพื่อชี้แจงรายละเอียดที่เกิดขึ้น
โดยในส่วนของนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กำลังเดินทางกลับจากนครนิวยอร์ก และจะมาถึงประเทศไทยในค่ำคืนนี้ จากนั้นจะมีการแถลงข่าวเพื่ออัปเดตประชาชนเกี่ยวกับการประชุมในวันพรุ่งนี้
ส่วนเรื่องเกี่ยวกับยูเนสโกและข่าวปลอมอื่นๆ กรณีกระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์แห่งกัมพูชาออกแถลงการณ์กล่าวหาประเทศไทยว่า กองทัพไทยได้มีการรุกรานและสร้างความเสียหายให้กับตัวปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลก เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยกฎหมายความคุ้มครองวัฒนธรรมภายใต้กรอบยูเนสโกนั้น นายนิกรเดชกล่าวว่า การปะทะกันระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 68 ยังคงยืนยันว่าทางกัมพูชาเป็นผู้เริ่มเปิดฉากยิงก่อน บริเวณห้วยตามะเรีย และภูมะเขือ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอยู่ห่างตัวปราสาทเขาพระวิหารมากกว่า 2 กิโลเมตร จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีกระสุนหรือสะเก็ดระเบิดที่มีวิถีไกลไปถึงตัวปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งฝ่ายประเทศไทยก็จะมีการชี้แจงหนังสืออย่างทางการไปด้วย
จึงขอส่งกำลังใจไปยังพี่น้องที่อยู่ตามชายแดนทุกท่าน ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลโดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะปกป้องอธิปไตยของประเทศและดูแลสวัสดิภาพของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างสุดความสามารถ และอยากจะฝากไปถึงพี่น้องประชาชนให้ทราบว่า ความขัดแย้งและการปะทะที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาระหว่างรัฐบาลและกองทัพของทั้งสองประเทศ ไม่ใช่เป็นปัญหาของประชาชนระหว่างสองประเทศ อยากให้แยกสองส่วนนี้ออก และขอคำนึงให้เห็นว่ากัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องอาศัยร่วมกันต่อไป
จากนั้นผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ประเทศกัมพูชาพยายามดันเรื่องความขัดแย้งเข้าไปยัง UNSC เพื่อหวังผลให้ไปสู่ศาลโลก ทางกระทรวงต่างประเทศได้มีการเตรียมพร้อมอย่างไรบ้าง นายนิกรเดชระบุว่า ให้แยกเรื่องนี้ออกจากกัน เพราะว่าในส่วนของ UNSC คือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งยังคงย้ำเจตนาว่าเป็นการแสดงข้อเท็จจริงและแสดงจุดยืนของประเทศไทย ส่วนประเทศกัมพูชาก็ต้องการไปชี้แจงและฟ้องกับ UNSC ในเรื่องต่างๆ ซึ่งในส่วนของกัมพูชาจะมีการยื่นข้อเท็จจริงหรือไม่เป็นความจริงอย่างไรบ้างต้องติดตามกันต่อไป แต่ในฝั่งของประเทศไทยของเราล้วนแล้วแต่เป็นข้อเท็จจริงทั้งหมด
ส่วนเรื่อง ICJ หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกัน โดยประเทศไทยมีความพร้อมสำหรับทั้ง 2 เวที ซึ่งคณะมนตรีของเรามีสิทธิ์ที่จะชี้แจงข้อเท็จจริงเท่ากันกับกัมพูชา โดยยึดมั่นในข้อเท็จจริงว่าเป็นผู้ถูกโจมตีก่อน และเราทำไปเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศและคนไทย ดังนั้นไม่มีอะไรน่ากังวลในส่วนนี้
ในส่วนของศาลโลกได้เรียนแจ้งไปแล้วว่า เราไม่รับอำนาจของศาลโลก ซึ่งก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีความพร้อมในการเตรียมข้อมูลที่พูดคุยกับนักกฎหมายระหว่างประเทศที่เป็นที่ปรึกษาของเรา และมีการเตรียมตัวโดยกรมสนธิสัญญาอย่างละเอียดถี่ถ้วนและมีความมั่นใจอย่างเต็มที่