ได้ยิน อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร พูดถึงความพยายามจะเปิดให้คนต่างชาตินำเงินตราต่างประเทศที่เป็นเงินใหม่ เข้ามาลงทุนในประเทศไทยภายใต้การออกวีซ่าที่เรียกว่า Golden Visa: วีซ่าสีทอง ให้แก่ต่างชาติแล้ว อยากจะขอโอกาสอธิบายเรื่องนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจสักนิด ส่วนใครจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่พึงกระทำได้
Golden Visa: วีซ่าสีทอง หรือ หนังสือเดินทางสีทอง เป็นแนวคิดที่รัฐบาลจะนำออกมาขายให้กับต่างชาติผู้มีความมั่งคั่ง สามารถจะมีถิ่นพำนักในประเทศไทย หรือทำงานในประเทศไทยเพื่อแลกกับเงินจำนวนมากที่พวกเขามี
ทั้งนี้ ให้รวมถึงบุคลากรสำคัญๆ ที่ประเทศไทยขาดแคลนด้วย เช่น ศาสตราจารย์ในภาควิชาสำคัญ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ นักวิจัยในสาขาที่จำเป็นต่อการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เป็นต้น
รัฐบาลไทยพยายามเสนอขายแนวคิดนี้ เพื่อจะหาทางช่วยเหลือผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศให้สามารถขายบ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียมของพวกเขาได้ โดยให้มีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของต่างชาติในประเทศไทย โดยให้สามารถเช่าซื้อได้ในระยะยาว 90 - 99 ปีแต่ยังคงดำรงสัดส่วนการถือครองไว้ที่ 51 : 49 เหมือนเดิม
สำนักข่าวบีบีซี รายงานข้อมูลที่ได้จาก ดร.คริสติน ซูรัก รองศาสตราจารย์ด้านสังคมวิทยาการเมืองจากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน และผู้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า The Golden Passport: Global Mobility for Millionaires ระบุว่า วีซ่าสีทอง เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากในหมู่ผู้มีความมั่งคั่งจากประเทศต่างๆ ราว 60 ประเทศทีเดียวที่มีโครงการเสนอขายวีซ่าสีทองนี้
...
เธอให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีราว 20 ประเทศที่ให้สัญชาติผ่านกฎหมายการลงทุน และครึ่งหนึ่งของประเทศเหล่านี้มีผู้สมัครมากกว่า 100 คนต่อปี และประเทศผู้ให้วีซ่าสีทองรายใหญ่ที่สุดคือ ตุรกี
วีซ่า และหนังสือเดินทางสีทองนี้เป็นที่นิยมในหมู่คนรวยซึ่งกำลังแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ การใช้ชีวิต การศึกษา และบริการด้านสุขภาพที่ดีกว่า
ท่ามกลางความไม่แน่นอนในโลกยุคปัจจุบัน ส่งผลให้ความต้องการที่พำนักแห่งที่สอง หรือหนังสือเดินทางเล่มที่สองนั้นมีมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สำหรับสิ่งจูงใจของนักลงทุนก็แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่วัตถุประสงค์ด้านความปลอดภัย การขยายขอบเขตการเดินทางโดยไม่ต้องขอวีซ่า การเพิ่มโอกาสของตนเองในระดับโลก รวมถึงเหตุผลด้านการศึกษา และโอกาสทางธุรกิจ
ส่วนปลายทางที่เป็นประเทศยอดนิยมได้แก่ มาเลเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขณะที่เซนต์คิตส์ฯ, โดมินิกา, วานูอาตู, เกรนาดา, แอนติกาฯ และ มอลตา เป็นหนึ่งในประเทศที่ออกหนังสือเดินทางสีทองอันดับต้นๆ ของโลก
ด้าน สหภาพยุโรป หรือ อียู (European Union – EU) ก็เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ผู้ถือวีซ่าสีทองหมายปองมากที่สุด เนื่องจากสิทธิในการพำนัก และทำงานในประเทศสมาชิก EU อนุญาตให้พวกเขาสามารถเดินทางข้ามรัฐในเขตเชงเก้นได้ โดยไม่ต้องขอวีซ่าหรือการตรวจลงตรา
ในปี 2020 มี 14 ประเทศในสหภาพยุโรปที่เสนอขายวีซ่าสีทอง โดยผู้สมัครมีสัดส่วนรวมกันมากกว่า 70% ที่ได้รับอนุมัติจากกรีซ ลัตเวีย โปรตุเกส และสเปน ขณะที่อีกหลายประเทศเริ่มเข้มงวดกับโครงการนี้มากขึ้น
ในปี 2022 รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ยุติโครงการที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติที่มั่งคั่งพำนัก และตั้งถิ่นฐานในประเทศหากพวกเขานำทรัพย์สินติดตัวมาด้วย ในปีต่อมา ไอร์แลนด์ ได้ยกเลิกวีซ่าสีทอง
ส่วนโปรตุเกสขอแก้ไขกฎหมายของตนเอง โดยไม่ให้สิทธิพำนักที่แลกมาด้วยการซื้ออสังหาริมทรัพย์อีกต่อไป แต่ยังสามารถทำได้หากเป็นการโอนย้ายเงินทุน และ การลงทุนเพื่อกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
ทีนี้มาดูสนนราคาของ วีซ่าสีทอง ที่แต่ละประเทศนำเสนอแก่ผู้สนใจกัน ยกตัว อย่าง ตุรกี เสนอให้หนังสือเดินทางสีทองแก่ชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 400,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไป หรือราว 13 ล้านบาท(32.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ)
ส่วนบางประเทศอย่าง ลักเซมเบิร์ก เสนอเส้นทางที่หลากหลายในการขอวีซ่าสีทอง เช่น การลงทุนในรูปแบบหลากหลายเริ่มต้นที่มูลค่าไม่ต่ำกว่า 536,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ราว 17.420 ล้านบาทของบริษัทที่จดทะเบียนในลักเซมเบิร์ก ไปจนถึงการฝากเงินจำนวน 21.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 700 ล้านบาทเข้าสถาบันการเงินในประเทศ
หลายประเทศยังรับบริจาคหรือเงินลงทุนในกิจกรรมการวิจัย และการพัฒนา โดยหนึ่งในแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ดำเนินนโยบายนี้ คือต้องการให้เกิดการโอนย้ายทุน หรือเงินทุนก้อนใหม่เข้าประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
จากรายงานการศึกษาของ ดร.คริสติน ซูรัก และ ยูสึกิ สึซึกิ ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร the Journal of Ethnic and Migration Studies ระบุว่า ระหว่างปี 2013 -2019 พบว่า 14.4% ของการลงทุนในโปรตุเกสมาจากเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศผ่านโครงการวีซ่าสีทอง ซึ่งระยะหลังๆ มา หลายคนติดคำว่า วีซ่าทองคำ ขณะที่ ลัตเวีย มีอัตราส่วนลักษณะเดียวกันนี้ที่ 12.2% และมากกว่า 7% ในกรีซ
อย่างไรก็ตาม แม้โครงการออกวีซ่าสีทองจะนำเงินตราเข้าประเทศได้มากเพียงใด ก็ยังถูกคัดค้านหนักว่า จะทำให้คนในประเทศเกิดวิกฤตที่อยู่อาศัย หรือ หมดโอกาสจะมีที่อยู่อาศัยที่ดีในเมือง
ในเวลาเดียวกันอาจเปิดช่องทางให้มีการทุจริตคอรัปชั่น หรือโยงใยไปถึงการฟอกเงินจากบรรดาผู้มีความมั่งคั่งเหล่านั้นได้ ทำให้มีสองสามประเทศเริ่มเข้มงวด และยกเลิกการเสนอขายวีซ่าสีทองแก่ชาวต่างชาติ เช่นสเปน และอังกฤษ เป็นต้น
ส่วนประเทศไทย มีผู้ให้ความเห็นว่าการให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดิน หรือ คอนโดมิเนียมยาวนานถึง 90 - 99 ปีนั้น เปรียบเสมือการขายชาติ เป็นต้น
อันที่จริงการปิดกั้นไม่ให้รัฐบาลดำเนินการใดๆ เพื่อหาเงินตราต่างประเทศเข้ามาเลย อาจส่งผลเสียเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องไปถึงนโยบายอื่นๆ ที่ต้องใช้เงินเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจประเทศขยายตัวได้ แต่ในเวลาเดียวกัน ความจำเป็นเรื่องการเข้มงวดในกฎระเบียบของการให้ต่างชาติมีถิ่นพำนักที่สอง หรือสามในประเทศไทย ก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน