“อิทธิพร บุญประคอง” รับคดีฮั้วเลือก สว. อยู่ในขั้นของเลขาธิการ กกต. ให้ความเห็นแล้ว ย้ำไม่เร่งทำงานตามขั้นตอน ระบุไม่อยู่ภายใต้แรงกดดัน หลังพรรคภูมิใจไทยออกจากร่วมรัฐบาลแล้วแจ้งเอาผิดคณะกรรมการไต่สวน
วันที่ 18 ก.ค. 2568 นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่า คณะกรรมการสืบสวนไต่สวน ชุดที่ 26 ได้ทำสำนวนเสร็จแล้ว และส่งเรื่องไปยังสำนักงาน กกต. เพื่อพิจารณา วิเคราะห์ศึกษาความเห็นของคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน และให้เลขาธิการ กกต. แสดงความเห็น และเมื่อเลขาธิการมีความเห็นแล้ว ก็จะเสนอไปยังคณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาหรือข้อโต้แย้ง ซึ่งมีหลายคณะ ซึ่งคณะอนุกรรมการจะเป็นผู้ศึกษาวิเคราะห์ช่วย กกต. ก่อนที่จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุม กกต. ผลการสืบสวนไต่สวนของคณะต่างๆ จะถือว่าเป็นความลับ ซึ่งเป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ ในส่วนของขั้นตอนเลขาธิการ กกต. จะใช้เวลา 60 วัน และเมื่อเข้าสู่คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาและข้อโต้แย้ง ก็จะมีเวลาไม่เกิน 90 วัน หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ที่ประชุม กกต. ก็ไม่เกิน 90 วันเช่นกัน
ส่วนกระแสข่าวที่มีผู้ที่อาจจะถูกดำเนินคดีมากถึง 229 คนนั้น นายอิทธิพร กล่าวว่า ปกติจะให้สำนวนขึ้นมาตามลำดับไม่ไปล้วงข้อมูลรายละเอียด ซึ่งที่เป็นข่าวก็มีจำนวนไม่น้อย
เมื่อถามว่าผู้ถูกร้องมีจำนวนมาก กกต. มีนโยบายในการวินิจฉัยอย่างไร นายอิทธิพร กล่าวว่า ไม่มีนโยบาย เป็นการพิจารณาตามขั้นตอนไม่สามารถแทรกแซงอะไรได้ทั้งสิ้น
เมื่อถามย้ำว่าจำเป็นต้องตั้งคณะอนุวินิจฉัยพิเศษขึ้นมาหรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยทำเช่นนั้น เพราะไม่ได้เป็นไปตามระเบียบ และต้องมีเหตุผลสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งตอนนี้ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำแบบนี้ นอกจากจะทำตามระเบียบ
...
เมื่อถามว่ากรณีพรรคภูมิใจไทยมองว่าข้อกล่าวหาของหลายคนเหมือนกัน ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมนั้น นายอิทธิพร กล่าวว่า เป็นความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องแต่เมื่อมอบหมายให้คณะกรรมการสืบสวนไต่สวนไปแล้ว ที่เหลือก็เป็นไปตามขั้นตอน ไม่ได้มีข้อยกเว้นอะไร ซึ่งความเห็นในระดับต่างๆ ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันได้อยู่แล้ว โดยกระบวนการก็ทำต่อไปไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร
เมื่อถามว่ามีการมองว่าเรื่องนี้ถูกเร่งดำเนินการเพราะพรรคภูมิใจไทยออกจากพรรคร่วมรัฐบาลแล้วนั้น นายอิทธิพร กล่าวว่า กกต. ปฏิบัติหน้าที่ตามกระบวนการ ไม่อยู่ภายใต้แรงกดดันอะไรทั้งสิ้น
เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นของ กกต. ที่จะทำให้ประชาชนมองว่าเป็นกลางทางการเมืองในคดีนี้ นายอิทธิพร กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของ กกต. คณะกรรมการแต่ละคนต้องธำรงไว้ซึ่งความเป็นกลาง และมีพฤติกรรมพฤติการณ์ไม่อยู่ภายใต้อาณัติของพรรคการเมือง เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาจุดมุ่งหมายคือทำให้ถูกต้องตามระเบียบ ตามกฎหมายมากที่สุด
เมื่อถามว่าประเด็นการลงสมัคร ส.ว. เพื่อไปเลือกนั้นตามกฎหมาย ได้มีการห้ามไว้หรือไม่ นายอิทธิพรกล่าวว่า ตนยังไม่อยากด่วนให้ความเห็นไปก่อนต้องดูในสำนวน
เมื่อถามถึงการลดเวลาการไต่สวนสามารถทำได้หรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า เรื่องการลดเวลาหากจะทำจะต้องมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเคยมีกรณีที่เกิดขึ้นที่ กกต. เห็นว่า ในสำนวนบางสำนวนกระบวนการพิจารณาบางอย่างอาจไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อนุวินิจฉัย แต่เพราะมีเหตุจำเป็นเรื่องจำกัดเวลา เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ในการวินิจฉัยสิทธิว่าผู้สมัครคนนั้นคนนี้มีสิทธิหรือไม่ ถ้าช้าจะทำให้เขาหมดสิทธิสมัคร และประกอบกับกรณีการวินิจฉัยสิทธิเลือกตั้ง ข้อเท็จจริงที่ได้มาจากคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน ชัดเจนเพียงพอแล้ว ซึ่งอาจจะกระทำได้ในลักษณะนี้ แต่ที่ผ่านมาปฏิบัติตามระเบียบสืบสวนไต่สวนอย่างเคร่งครัด
เมื่อถามว่าส่วนที่พรรคภูมิใจไทยมีการฟ้องร้องคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนชุดที่ 26 นั้น นายอิทธิพร กล่าวว่า พิจารณาเหมือนทุกครั้งดูรายละเอียด และความเห็นจากคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน และความเห็นจากเลขาธิการ กกต. ที่ส่งขึ้นมา ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นเอกฉันท์ เมื่อมาถึงที่ประชุมก็จะมีการถกกันบนพื้นฐานของความเห็นและสำนวน และขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะใช้ดุลยพินิจวินิจฉัยเรื่องนี้อย่างไร บางครั้งก็ออกมาเป็นฉันทามติเอกฉันท์ หรือ 3 ต่อ 3, 4 ต่อ 2, 5 ต่อ 1 ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละคน