“ชาญชัย-หมอวรงค์” เผย คดีชั้น 14 “ทักษิณ” ใกล้เคียงความจริง ชี้ โยนความรับผิดชอบไปมา จ่อเปิดข้อมูลเด็ด 18 ก.ค.นี้
วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ที่ศาลฎีกา ถนนราชดำเนินใน ศาลนัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ซึ่งติดตามการไต่สวนคดีนี้อย่างใกล้ชิด ระบุว่า การไต่สวนในวันนี้มีพยานรวม 16 ปาก โดยหลายประเด็นเริ่มใกล้เคียงความจริงมากขึ้น โดยเฉพาะข้อสงสัยที่เชื่อมโยงถึงโรงพยาบาลตำรวจ และกระบวนการส่งตัวนายทักษิณออกนอกเรือนจำ ซึ่งมีข้อพิรุธหลายจุด
นายชาญชัย กล่าวอีกว่า ตนได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีการเปิดเผยข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับคดี เนื่องจากมีความพยายามจากฝ่ายจำเลย โดยเฉพาะทนายความของนายทักษิณ ที่ไม่ต้องการให้สื่อมวลชนนำเสนอข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งตนเห็นว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน แม้ศาลจะมีคำสั่งให้ลบข้อความบางส่วน แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นห้ามสื่อเข้าฟังการพิจารณา เพียงแต่ขอให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม
“ถ้าผมเป็นทนายของนายทักษิณ ผมจะขอให้เปิดเผยทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เพราะหากมั่นใจว่าไม่มีความผิด การปกปิดย่อมไม่จำเป็น”
นายชาญชัย ยังเปิดเผยอีกว่า ขณะนี้คดีใกล้เข้าสู่ความจริงแล้ว และมีข้อมูลภายในจากกลุ่มบุคคลใกล้ชิดว่าอาจมีการดำเนินการให้นายทักษิณถูกจำคุกในบางเงื่อนไข และในวันที่ 18 กรกฎาคมนี้ จะมีการแถลงข้อมูลเพิ่มเติมต่อสาธารณชน โดยจะชี้ให้เห็นว่า เหตุใดจึงมีรายชื่อนายทักษิณในกลุ่มที่ต้องชำระเงินค่ารักษา แม้ยังไม่มีอาการเจ็บป่วยรุนแรง และจะเปิดโปงกลไกที่เป็นต้นตอของปัญหานี้ซึ่งสร้างความวุ่นวายในกระบวนการยุติธรรม พร้อมระบุว่าศาลควรระมัดระวังไม่ให้การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนกระทบต่อกระบวนการไต่สวน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรปิดกั้นข้อมูลที่ประชาชนมีสิทธิรับรู้
...
ทางด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม กล่าวว่า การไต่สวนวันนี้แบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยช่วงเช้าเป็นการเบิกความจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ส่วนช่วงบ่ายเป็นพยานฝ่ายแพทย์ ซึ่งมีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของนายทักษิณที่อ้างว่าป่วยด้วยโรคหัวใจ แต่จากข้อมูลพบว่าอาการทุเลาตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม และโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก็มีความสามารถในการรักษาโรคดังกล่าวได้
นพ.วรงค์ ระบุต่อไปว่า ศาลได้ตั้งข้อสังเกตถึงการประเมินสุขภาพและการอนุมัติให้พักโทษ โดยเฉพาะช่วงวิกฤติในวันที่ 22 สิงหาคม ซึ่งมีเอกสารแสดงว่ามีการเตรียมความพร้อมในการส่งตัวออกไปรักษานอกเรือนจำล่วงหน้า ทั้งที่ตามปกติจะต้องมีอาการฉุกเฉินเสียก่อน พร้อมตั้งคำถามว่าเหตุใดอาการจึงหนักต่อเนื่องถึง 108 วัน ก่อนจะกลับมาทุเลาในวันถัดไป ส่วนประเด็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจให้ผู้ต้องขังพักรักษาตัว ศาลได้ซักถามพยานถึงขั้นตอนการอนุมัติระยะเวลา 30 วัน, 60 วัน และ 120 วัน ซึ่งพบว่ามีความคลุมเครือ บางฝ่ายระบุว่าเป็นอำนาจของราชทัณฑ์ ขณะที่อีกฝ่ายชี้ว่าเป็นอำนาจของแพทย์ ทำให้เกิดการโยนความรับผิดชอบไปมา
ขณะที่ นายสมชาย แสวงการ ให้ความเห็นว่า การรักษาตัวของผู้ต้องขังนอกเรือนจำนั้นสามารถทำได้ แต่ส่วนใหญ่เป็นลักษณะไปเช้าเย็นกลับ กรณีที่เกิน 30 วัน หรือแม้กระทั่ง 120 วัน มีอยู่ไม่มาก ตามรายงานของกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ ที่เคยเสนอต่อ ป.ป.ช. ระบุว่า มีเพียง 3 รายเท่านั้นที่รักษาตัวเกิน 120 วัน ได้แก่ ผู้ป่วยจิตเวชในพื้นที่พิษณุโลก, ผู้ป่วยจิตเวชที่โรงพยาบาลกัลยาณ์ราชนครินทร์, ผู้ต้องขังที่รักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งแม้อาการทุเลาแล้วก็ยังไม่ถูกส่งกลับเรือนจำ
โดยกรณีของนายทักษิณ มีคำวินิจฉัยจากแพทย์โรงพยาบาลตำรวจเป็นตัวกำหนด ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาล ทั้งนี้ คดีดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด โดยในสัปดาห์หน้าศาลจะมีการไต่สวนพยานเพิ่มเติม และคาดว่าอาจมีการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นหลักฐานสำคัญต่อรูปคดี.