ผอ.สำนักพุทธฯ แจงกฎกระทรวงคุมเงินวัดปี 2564 ใช้ไม่ได้ผล เหตุไร้บทโทษ ต้องใช้มติมหาเถรสมาคมเพิ่มมาตรการลงโทษ วอนแยกแยะพระทำผิดเรื่องส่วนบุคคล เท่าที่ทราบยังมีอีก 11 รูปมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 15 ก.ค. 2568 ที่รัฐสภา นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.) พร้อมนายบุญเชิด กิตติธรางกูร รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เดินทางมาที่อาคารรัฐสภา โดยให้สัมภาษณ์ถึงการปรับระเบียบ พศ. กำหนดให้วัดถือเงินสดไม่เกิน 1 แสนบาทว่า มีการออกกฎกระทรวงเมื่อปี 2564 ว่า วัดต้องจัดทำบัญชีรับจ่ายตามแบบฟอร์มที่ พศ. กำหนด รวมถึงต้องเปิดบัญชีธนาคารเป็นชื่อของวัด โดยมีผู้มีอำนาจเบิกจ่าย 2 ใน 3 นอกจากนี้จะต้องถือเงินสดไม่เกิน 1 แสนบาท หากเกินจากนั้นต้องให้ฝากธนาคาร เราดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2564 แต่กฎกระทรวงฉบับนี้ไม่มีมาตรการบังคับโทษว่าหากไม่ปฏิบัติแล้วจะทำอย่างไร จึงเกิดมติมหาเถรสมาคม ตามที่นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงไป ซึ่งมหาเถรสมาคม ได้ออกมติไปแล้วว่า หากวัดใดไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกไว้ จะต้องมีมาตรการลงโทษ
แนะทำบุญผ่านคิวอาร์โค้ด
เมื่อถามถึง เหตุที่ต้องตัดเงินให้ถือได้ไม่เกิน 1 แสนบาท นายอินทพร กล่าวว่า เนื่องจากบางวัดรับบริจาคเป็นเงินสด ถ้าเก็บเงินสดไว้มาก อาจจะเป็นช่องทางสุ่มเสี่ยง ดังนั้น ต้องฝากเงินทุกวัน ซึ่งตนเพิ่งไปตรวจสอบระบบ E-Donation หรือเงินบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้ทำไว้กับกรมสรรพากร เราได้แจ้งวัดให้ประสานผ่านกรมสรรพากรไปแล้ว ประเทศไทยมี 4 หมื่น 4 พันวัด แต่มีวัดที่เข้าระบบแล้ว 86 เปอร์เซ็นต์ ผู้บริจาคผ่านคิวอาร์โค้ดจะสามารถโอนเงินเข้าบัญชีของวัดได้โดยตรงและสามารถลดหย่อนภาษีได้ด้วยโดยไม่ต้องใช้ใบอนุโมทนาบัตร อยากให้ทุกคนใช้คิวอาร์โค้ดในการทำบุญ ส่วนการบริจาคด้วยเงินสดเรากำลังหามาตรการตรวจสอบ
...
ใช้มติมหาเถรฯ งัดบทลงโทษ
นายอินทพร กล่าวอีกว่าเมื่อกฎกระทรวงไม่ได้บอกว่า ถ้าไม่ทำแล้วจะต้องเกิดอะไรขึ้น เราจึงต้องใช้อำนาจการปกครองของคณะสงฆ์ คือออกเป็นมติของเถรสมาคมให้วัดรู้ว่า กฎกระทรวงฉบับนี้จัดการทรัพย์สินของวัด หากไม่ทำจะมีผลในการตรวจสอบ ลงโทษ เหมือนกับวินัยข้าราชการ ส่วนมาตรการนี้จะช่วยได้จริงหรือไม่ เพราะการปฏิบัติจริงยังมีความหละหลวม นายอินทพร กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นการใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส เพราะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรง ซึ่งวันที่ 16 ก.ค. นายสุชาติจะไปมอบนโยบายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาทั่วประเทศ จึงเป็นโอกาสในการทำงานเชิงรุกมากขึ้นกับวัดที่มีรายได้สุ่มเสี่ยง ส่งผลกระทบต่อความไม่โปร่งใส หรือวัดที่ขัดหลักธรรมาภิบาล ไม่สามารถตรวจสอบได้
วอนแยกแยะ พระมี 3 แสนรูป
เมื่อถามว่า จะมีมาตรการเรียกความศรัทธาให้ประชาชนกลับมาได้อย่างไร นายอินทพร กล่าวว่า เรามีพระ 3 แสนรูป เราไม่อยากจะแก้ตัวว่า เป็นเรื่องของบุคคล คนใดทำกรรมไว้ก็รับผลกรรมของตัวเองไป แต่กรรมนั้นส่งผลกระทบต่อภาพรวม เราอยากกราบเรียนประชาชนว่าพระดี ๆ ยังมีอีกเยอะ ถ้าเห็นสิ่งใดไม่ชอบมาพากล คงต้องช่วยกันตรวจสอบ เพราะวัดอยู่ในชุมชนอยู่แล้ว ตนคิดว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาทั่วประเทศ จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้แล้ว เมื่อถามย้ำว่า ร่างกฎหมายห้ามพระเสพเมถุนดำเนินการไปถึงไหนแล้ว นายอินทพร กล่าวว่า ได้ส่งไปให้หลายส่วนที่เกี่ยวข้องแสดงความเห็น พบว่า มีความเห็นที่หลากหลาย โดยเฉพาะบทกำหนดโทษไม่ว่าจะเป็นพระ สีกา หรือผู้ชายก็ดี ที่มีการเสพเมถุนกัน ยังมีอีกหลายกรณีที่ไม่ได้มีการเสพเมถุนอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่ทำให้คณะสงฆ์ได้รับความเสื่อมเสีย การอวดอุตตริ การสัก การรดน้ำมนต์ ก็อยู่ในบทลงโทษด้วย บางโทษมีผู้แสดงความเห็นว่าสูงเกินไป
เหลืออีก 11 รายยังไม่สึก
ทั้งนี้ ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการประชุมเร่งด่วนที่ให้เจ้าคณะภาคต้องรับเรื่องตามที่พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ว่าพระที่ยังไม่สามารถติดต่อได้ หรือยังไม่ลาสิกขาได้ ให้มารายงานตัวชี้แจง ล่าสุดวันนี้เจ้าคณะจังหวัดพิจิตรยืนยันว่าได้ลาสิกขาไปแล้วอีก 1 คน ส่วนในเรื่องพระธรรมวินัย ก็ได้ถือว่าสิ้นสุดไปแล้ว แต่หากพบว่า มีเส้นทางการเงินที่ไปเกี่ยวข้องกับวัด หรือนำเงินวัดไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เอาเงินวัดไปใช้เงินส่วนตัว ก็ถือว่าตอนนั้นยังเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ทั้งนี้ เท่าที่ทราบยังมีพระอีก 11 รูป ที่ได้ข้อมูลมาและเราได้กำชับให้มหาเถรสมาคมดำเนินการ