“ปานเทพ” สวมเสื้อลายธงชาติ ย้อนรอย 17 ปีทวงคืนอธิปไตย ปมเขาพระวิหาร ชี้ รัฐบาลไทยพลาด ปล่อยกัมพูชาครอบครอง เรียกร้องรัฐบาลปัจจุบันทบทวนจุดยืนและแสวงหาทางออกในเวทีระหว่างประเทศ


วันที่ 13 กรกฎาคม 2568 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ขึ้นเวทีเสวนา “ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว” ครั้งที่ 3 ภายใต้หัวข้อ 17 ปีแห่งการทวงคืนอธิปไตยชาติ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยสร้างความสนใจด้วยการสวมเสื้อลายธงชาติ สะท้อนสัญลักษณ์ของการยืนหยัดเพื่ออธิปไตยไทย นายปานเทพ ระบุว่า การเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องพื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหารเมื่อปี 2551 ไม่ได้มีเป้าหมายทางการเมืองหรือต่อต้านรัฐบาลใดเป็นการเฉพาะ แม้ในเวลานั้นจะเป็นรัฐบาลของ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเอื้อประโยชน์ต่อประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกรณีการลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชา ซึ่งสนับสนุนให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว

“เราไม่ได้เคลื่อนไหวเพราะทักษิณ (ชินวัตร) หรือฝ่ายการเมืองใด แต่เราท้วงติงตั้งแต่ต้นว่าการลงนามนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองสูงสุดก็วินิจฉัยว่าการกระทำดังกล่าวผิดจริง”

...





นายปานเทพ กล่าวต่อไปถึงความสำเร็จในช่วงเวลานั้น ว่า หนึ่งในผลลัพธ์สำคัญคือการที่ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น ได้ประกาศถอนตัวจากภาคีอนุสัญญามรดกโลก โดยยืนยันว่าไทยไม่ยอมรับมติของคณะกรรมการมรดกโลก ที่ให้ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่โดยรอบในนามของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว

ประเด็นที่น่าสนใจคือ แม้จะมีการต่อต้านจากภาคประชาชนและหน่วยงานบางส่วนในช่วงปี 2551 แต่รัฐบาลชุดต่อมา ทั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับไม่มีการดำเนินการใดเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือทบทวนมติที่เกี่ยวข้อง ทำให้ประเทศไทยยังคงอยู่ในสถานะภาคีมรดกโลก และปล่อยให้กัมพูชาเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดสามารถยึดครองพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารได้อย่างสมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม นายปานเทพ ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า วันนี้ถ้าใครถามว่าทำไมพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารถึงไม่ใช่ของไทย คำตอบอยู่ที่การไม่ดำเนินการใดๆ ของคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังปี 2551 จนถึงปัจจุบัน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลปัจจุบันทบทวนจุดยืนและแสวงหาทางออกในเวทีระหว่างประเทศอีกครั้ง.