พรรคประชาชน ย้ำจุดยืนค่าโดยสารร่วม 8-45 บาท หลังถูกวิจารณ์ไม่หนุนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ชี้ ภาษีประชาชนต้องถูกใช้อย่างสมเหตุสมผลและยั่งยืน เพื่อประโยชน์ผู้โดยสารทุกกลุ่ม ต่างจากนโยบายเพื่อไทย
เมื่อเวลา 15.14 น. วันที่ 13 กรกฎาคม 2568 พรรคประชาชนยืนยันจุดยืนผ่านทางเฟซบุ๊ก หลังจากกรณีรัฐบาลพรรคเพื่อไทยประกาศจะทำนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้ และเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่พรรคประชาชนไม่หนุนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ว่า พรรคประชาชนเห็นด้วยว่าค่าโดยสารรถไฟฟ้าในปัจจุบันมีราคาแพง ควรถูกปรับลดเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของพรรคเพื่อไทยที่ใช้เงินของรัฐ ซึ่งก็คือเงินภาษีประชาชนทั้งประเทศไปอุดหนุนให้นายทุนรถไฟฟ้าอย่างไร้ฐานคิด กล่าวคือรัฐบาลไม่ทราบต้นทุนของรถไฟฟ้าแต่ละสายด้วยซ้ำ แต่กลับตั้งราคาขึ้นมาลอยๆ ที่ 20 บาท
อีกทั้งการทำแบบนี้ จะส่งผลให้ 1. รัฐต้องทุ่มเงินอุดหนุนจำนวนมาก ที่สุดท้ายเข้ากระเป๋านายทุนรถไฟฟ้าเต็มๆ 2. เป็นนโยบายที่คิดไม่ครบ ใช้งบประมาณจำนวนมากโดยละเลยผู้ใช้รถเมล์ซึ่งมีความยากลำบากและฐานรายได้ต่ำกว่าผู้ใช้รถไฟฟ้า 3. ขาดความยั่งยืน นโยบายนี้ต้องลุ้นแบบปีต่อปี เพราะไม่ได้ออกเป็นกฎหมาย ขึ้นอยู่กับรัฐบาลต่อไปจะทำต่อหรือไม่
สำหรับข้อเสนอพรรคประชาชน คือ การทำค่าโดยสารร่วม 8-45 บาท รวมระบบรถไฟฟ้าและระบบรถเมล์ ผ่านร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... เสนอโดย นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ซึ่งตอนนี้ผ่านคณะกรรมาธิการ (กมธ.) แล้ว กำลังรอเข้าสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 2
...
ข้อดีของ “ค่าโดยสารร่วม” (Common Fare) คือผู้เดินทางไม่ต้องจ่ายค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน สามารถเดินทางข้ามสายหรือข้ามระบบ เช่น จากรถไฟฟ้าไปรถเมล์อย่างไร้รอยต่อ อาทิ ขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว 5 สถานี ต่อด้วยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 5 สถานี ต่อด้วยรถเมล์จนถึงจุดหมาย ทั้งหมดนี้ราคาไม่เกิน 45 บาท อีกสิ่งสำคัญที่จะเกิดขึ้นหากร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ของพรรคประชาชนผ่านสภาฯ คือจะมี “ตั๋วร่วม” (Common Ticket) หรือตั๋วใบเดียวที่ใช้ได้ทุกขนส่งสาธารณะเพื่อความสะดวก ประชาชนไม่ต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันให้วุ่นวายยุ่งยาก เช่นเดียวกับกรุงลอนดอนที่มีบัตร Oyster สิงคโปร์มีบัตร EZ-Link ฮ่องกงมีบัตร Octopus
ขณะเดียวกัน พรรคประชาชนยังชี้แจงถึงการทำค่าโดยสารร่วม 8-45 บาท ว่า พรรคประชาชนคิดบนพื้นฐานสัญญาสัมปทานที่ผูกพันกับรัฐในปัจจุบันที่คิดเป็นเที่ยว (8-25 บาทสำหรับรถเมล์ และ 15-45 บาทสำหรับรถไฟฟ้า) แต่ช่วยคนที่ลำบากจริงๆ คือต้องเดินทางหลายเที่ยวก่อน โดยกำหนดเพดานสูงสุดที่ 45 บาท (เหมือนเดินทางเที่ยวเดียว แม้ต้องขึ้นรถไฟฟ้าหลายสาย ขึ้นรถเมล์หลายต่อ)
นโยบายของพรรคประชาชน รัฐต้องอุดหนุน แต่ไม่เหมือนกับพรรคเพื่อไทย โดยในนโยบายพรรคประชาชนคาดว่าใช้ 7,000 ล้านบาทต่อปี เงินอุดหนุนส่วนมากไปช่วยระบบรถเมล์ซึ่งฐานผู้ใช้มีรายได้น้อยกว่ารถไฟฟ้า และในส่วนรถไฟฟ้าไม่เอื้อนายทุนเพราะอยู่บนฐานของสัมปทานเดิม (15-45 บาท) เพียงแต่ช่วยอุดค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน เพราะถือเป็นความผิดของรัฐไทยในอดีตที่มองปัญหาเป็นสายๆ แบ่งเค้กเป็นรายๆ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน
“พรรคประชาชนออกแบบนโยบายค่าโดยสารร่วม 8-45 บาท รวมระบบรถไฟฟ้าและระบบรถเมล์ เพื่อแก้ปัญหาที่โครงสร้าง คิดครบรอบด้านเพื่อประโยชน์ของผู้โดยสารทุกกลุ่มภายใต้แนวคิดขนส่งสาธารณะเพื่อทุกคน โดยจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดเพื่อช่วยคนที่เดือดร้อนจริงๆ มากหน่อย ไม่ใช่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบปะผุ โปรยไปทั่วให้เหลือ 20 บาท แต่แท้จริงคือการประเคนผลประโยชน์ให้นายทุนรถไฟฟ้า ที่มีความสนิทสนมกับนายใหญ่ในรัฐบาล”
อย่างไรก็ตาม เราเชื่อมั่นว่านโยบายค่าโดยสารร่วม 8-45 บาทตลอดทาง จะสร้างระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่ได้มีแค่รถไฟฟ้าให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวก มีค่าโดยสารที่เป็นธรรม เงินทุกบาททุกสตางค์จากภาษีของประชาชนทั้งประเทศ ถูกใช้อย่างสมเหตุสมผลและมีความยั่งยืน.