นิวเจนพรรคภูมิใจไทย "ชลัฐ รัชกิจประการ" ถามทีมเจรจา “ภาษีทรัมป์” ในมือพรรคเพื่อไทย มีเวลาแต่ไม่สามารถพลิกเกม ไม่เก่ง หรือถูกครอบงำจากฝ่ายการเมือง เตือน เหลือเวลาอีก 3 อาทิตย์ ต้องลดให้ไม่เกิน 20% ไม่งั้นนักลงทุนแห่ไปเวียดนามหมดแน่
วันที่ 8 ก.ค. 2568 นายชลัฐ รัชกิจประการ สส.ระบบบัญชีรายชื่อ กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกา ส่งหนังสือแจ้งอัตราภาษีศุลกากร ยืนยันอัตราที่ 36% ว่า เห็นหนังสือแจ้งอัตราภาษีศุลกากรอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ ที่ส่งให้ไทยแล้วได้แต่ปลงครับ 1 สิงหาคมนี้ สหรัฐฯ ยังยืนอัตราที่ 36% ตามเดิม หันไปมองเพื่อนบ้านอย่างลาว เขาได้ลด 6% กัมพูชาได้ลด 13% (ลงมาเท่ากับไทยที่ 36%)
ก็เลยสงสัยว่า ทีมเจรจาเรามีเวลาเตรียมตัวมาสองเดือนกว่าๆ ภายใต้การกำกับดูแลของพรรคเพื่อไทย ที่เคยย้ำว่าเป็นพรรคมือเศรษฐกิจ แต่กลับไม่สามารถพลิกเกมกำแพงภาษีสหรัฐฯ ได้เลย จึงไม่รู้ว่า ทีมเจรจาไม่เก่ง? หรือว่าทีมเก่งแต่ถูกครอบงำจากฝ่ายการเมืองจนไปไม่เป็น? ก็ไม่รู้
นายชลัฐ ระบุด้วยว่า เหลือเวลาอีก 3 อาทิตย์ มาเอาใจช่วยทีมเจรจาของไทยกัน อย่างน้อยก็ขอให้ได้ไม่เกิน 20% ไม่เช่นนั้นนักลงทุนแห่ไปเวียดนามหมดแน่
ตำหนิก.คลังทำการบ้านน้อย
ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า กระทรวงการคลังของไทย ทำการบ้านน้อย และมีชั้นเชิงในการเจรจาอ่อนเกินไป ถึงแม้ว่าจะดีกว่าประเทศลาว เมียนมา แต่แสดงให้เห็นว่า ยังสู้เวียดนามไม่ได้โดยสิ้นเชิง เพราะอัตราภาษี 36% ที่แยกออกจากภาษีรายอุตสาหกรรม และกรณีการส่งผ่านประเทศอื่น ซึ่งจะมีอัตราที่สูงขึ้นอีกนั้น แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการเจรจาอย่างชัดเจน หากใครได้อ่านในจดหมาย ก็จะเห็นท่าทีที่ดูไม่เป็นมิตร ถึงแม้จะใช้ถ้อยคำว่าเป็นมิตร เพราะภายใต้เนื้อหากลับสะท้อนถึงการตัดโอกาส บีบบังคับ ความเป็นต่ออย่างชัดเจน จึงชวนให้สงสัยว่า ฝ่ายไทยเตรียมการอย่างไร และเจรจาแบบใด จึงได้รับจดหมายในลักษณะนี้ รู้สึกผิดหวังกับแนวทางการทำงานของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาภาษีกับสหรัฐเป็นอย่างมาก
...
เตือนอย่าชะล่าใจ
นายสิริพงศ์ ได้เสนอแนะแนวทางที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ คือ 1. ศึกษาแนวทางของประเทศที่เจรจาสำเร็จ และนำมาปรับใช้อย่างเร็วที่สุด และอย่าชะล่าใจเหมือนครั้งนี้ ที่ส่งข้อเสนอเกือบชนกำหนดเส้นตาย 2. เร่งหาแนวทางเจรจาทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยรัฐบาลต้องมีความมุ่งมั่นในการเจรจากับสหรัฐให้จริงจังมากกว่านี้ 3. ทบทวนบทบาทของกระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ว่าในช่วงที่ผ่านมาได้ทำอะไรบ้าง เพื่อสร้างขีดความสามารถให้กับภาคเอกชน เช่น การสนับสนุนทางการเงิน การลดระยะเวลาขออนุญาต การสร้างเสถียรภาพของนโยบาย เป็นต้น 4. ต้องทบทวนแล้วว่า ถ้าสถานการณ์การเจรจาไม่เป็นไปในทิศทางที่ดี จะต้องมีการปรับแผนการลงทุนภาครัฐอย่างไร ถ้าการส่งออกพัง และรัฐเก็บรายได้ไม่ได้ อย่าให้ต้องมากระทบผู้ประกอบการที่จะต้องเพิ่มเป้ารีดภาษี
“อยากฝากถึงคลังและพาณิชย์ ปัญหาเศรษฐกิจมีเยอะมาก ทั้งราคาพืชผล SME เศรษฐกิจซบเซาทั่วประเทศ ถ้านโยบายและแนวทางยังสะเปะสะปะเช่นนี้ เกรงว่าเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี เรื่อง Reciprocal Tariff ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นี้ จะถูกยกมาเป็นข้ออ้างจากการบริหารที่ผิดพลาดไปอีกนาน” นายสิริพงศ์กล่าว