“กมธ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ สว.” เคาะเชิญ นายกฯ แพทองธาร แจง 17 ก.ค. นี้ บอกโจทย์ 12 ข้อ ชี้เรื่องใหญ่ นายกฯ ควรมาเอง ย้ำข้อกังวลสังคมเพียบ แนะถอนร่างพ้นสภา ด้าน “สว.พิสิษฐ์” ชี้ข้อเสียอื้อ ขู่ รวมชื่อ สว. ร้องศาลรัฐธรรมนูญ

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 3 ก.ค. 2568 ที่รัฐสภา นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร วุฒิสภา แถลงถึงความคืบหน้าการศึกษาจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ว่า กมธ. มีมติจะเชิญนายกรัฐมนตรี หรือผู้แทนรัฐบาลเข้าร่วมประชุมในวันที่ 17 ก.ค. นี้ เพื่อชี้แจงเรื่องที่มีข้อสงสัยและเป็นอุปสรรคต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริง หากรัฐบาลมีความจริงใจ ควรให้นายกรัฐมนตรีมาให้ข้อมูลด้วยตนเอง เพราะเรื่องนี้ส่งผลเปลี่ยนโครงสร้างประเทศ และไม่ได้เป็นนโยบายที่ใช้หาเสียง หรือแถลงนโยบายต่อรัฐสภาอย่างชัดเจน มีรวม 12 ประเด็น คือ 1.) การประเมินสัดส่วนรายได้จากพื้นที่กาสิโน 2.) แนวทางการอนุญาตจัดตั้งบ่อนกาสิโน 3.) การใช้ประโยชน์ที่ดินของการท่าเรือคลองเตย 4.) ข้อมูลและสมมติฐานรายได้จากผู้เล่นชาวไทย 5.) การควบคุมการฟอกเงิน 6.) มาตรการกำกับดูแลเจ้าหน้าที่พิเศษ 7.) การป้องกันการใช้อำนาจเกินขอบเขตของคณะกรรมการนโยบาย 8.) การวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจ 9.) ความถูกต้องของข้อมูลเปรียบเทียบการท่องเที่ยว 10.) ลำดับความสำคัญในการศึกษาและคัดเลือกพื้นที่ 11.) การตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการศึกษาในอดีตและการติดต่อกับนักลงทุน 12.) ความเหมาะสมในการปรับชื่อพระราชบัญญัติให้ตรงไปตรงมา

เมื่อถามว่า การเชิญนายกรัฐมนตรีมาชี้แจงต่อ กมธ. จะสอบถามประเด็นใดเพิ่มเติม นพ.วีระพันธ์ กล่าวว่า ประเด็นหลักที่ต้องการคำชี้แจงมี 12 ข้อดังกล่าว หากนายกฯ มาเอง เชื่อว่า กมธ. จะถามอีกมาก เพราะเป็นนโยบายสำคัญที่อาจเปลี่ยนโครงสร้างประเทศ เหมาะสมที่ผู้นำรัฐบาลจะมาเป็นผู้ชี้แจงเอง ทั้งนี้ ส่วนตัวว่าไม่เห็นด้วยกับความเร่งรีบของรัฐบาล ซึ่งได้ยินข่าวลือว่า เฉพาะร่าง พ.ร.บ. จะถูกบรรจุเข้าสู่การพิจารณาในวันที่ 9 ก.ค. นี้ ผลการศึกษายังไม่ครอบคลุม และประชาชนยังไม่รับรู้เพียงพอ หากจะเสนอกาสิโน ควรประกาศตั้งแต่ต้นเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจอย่างโปร่งใส ไม่ใช่มากำหนดนโยบายภายหลังการเลือกตั้ง

...

นพ.วีระพันธ์ กล่าวต่อว่า การจัดทำประชามติหลังจากผลักดันร่างกฎหมายนั้น ไม่เหมาะสม เพราะกระบวนการจัดทำนโยบายที่สำคัญขนาดนี้ ควรตั้งอยู่บนฐานของความรอบคอบ โปร่งใส และเปิดเผยตั้งแต่ต้น ทั้งนี้ ยังมีข้อกังวลอีกหลายประเด็นที่สะท้อนถึงความไม่โปร่งใส เช่น กรณีที่เอกชนบางรายทราบรายละเอียดการจัดเก็บภาษีก่อนที่รัฐบาลประกาศเป็นทางการ (17%) หรือการที่ภาครัฐระบุว่าจะควบคุมไม่ให้คนไทยเล่น แต่รายงานเอกชนกลับระบุชัดว่า ต้องอาศัยผู้เล่นชาวไทยถึง 50% เพื่อให้คุ้มทุน ยังมีข้อมูลจากกฤษฎีกาที่ระบุว่า เฉพาะผู้มีเงินฝาก 50 ล้านบาทขึ้นไปในบัญชีอย่างน้อย 6 เดือน จึงจะสามารถเข้าเล่นกาสิโนได้ ซึ่งไม่สอดคล้องกับเป้าหมายเอกชนที่ต้องการฐานผู้เล่นจำนวนมาก และยังมีข้อกังวลขององค์กรศาสนา และมีประเด็นด้านกฎหมายหลายข้อที่อาจขัดรัฐธรรมนูญ ดังนั้นการเร่งผลักดันนโยบายนี้อาจไม่เหมาะสมในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญปัญหาหลายด้าน จึงเสนอให้ชะลอ หรือถอนร่างกฎหมายออกไปก่อน เพื่อกลับไปเริ่มต้นกระบวนการที่โปร่งใส และเปิดรับฟังเสียงประชาชนอย่างแท้จริง

“สว.พิสิษฐ์” ชี้ข้อเสียอื้อ ขู่ รวมชื่อ ส.ว. ร้องศาล รธน.

ด้านนายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. กล่าวว่า ตนต้องการให้สภาผู้แทนราษฎรถอนวาระร่างกฎหมายกาสิโนออกไปจากสภาผู้แทนราษฎร และไม่ควรกลับเข้ามาเพราะสุ่มเสี่ยงว่าจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญในเรื่องนิติธรรม ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ. ฉบับนี้ และอาจจะสุ่มเสี่ยงให้เกิดการคอร์รัปชันที่สูงเพราะประเทศไทยติดอันดับการคอร์รัปชันสูงระดับโลก การที่บอกว่าจะนำการพนันใต้ดินขึ้นมาบนดินและเก็บภาษี ตนอยากบอกตรงๆ ว่า การพนันไม่มีวันหายไป และกลายเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนขึ้นเล่นการพนันมากขึ้นจากใต้ดินขึ้นมาบนดิน สุดท้ายคือ รัฐต้องพัฒนาทางด้านวัตถุและจิตใจไม่ใช่เน้นแต่เรื่องเงินอย่างเดียว เราต้องคำนึงถึงเยาวชนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกับปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น และถ้ายังไม่ยอมถอนร่างนี้ออก ตนในฐานะ สว. จะรวบรวมรายชื่อเพื่อที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย