“ชัยเกษม” เผย ยังไม่ได้คุย “ทักษิณ-แพทองธาร” หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ พร้อมรับไม้ต่อหากทำเพื่อประเทศได้ ไม่ปิดประตูหากภูมิใจไทยทอดไมตรี เห็นใจ “อิ๊งค์” มอง ทุกอย่างต้องแก้ด้วยการพูดคุย


วันที่ 2 กรกฎาคม 2568 นายชัยเกษม นิติสิริ ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ลำดับที่ 3 ของพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ไทยรัฐทีวี ถึงความรู้สึกของการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคไทยคนเดียว ว่า รู้สึกเหนื่อยใจและลำบากใจเหมือนกันที่จะต้องไปทำอะไร ที่ผ่านมาเขาก็กำหนดคนไว้หลายคน อยู่ไปอยู่มา มาตกอยู่ที่ตนเองคนเดียว พร้อมแซวว่า พอกลับมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เดี๋ยวไม่รู้จะมีอุบัติเหตุการเมืองอะไรเกิดขึ้นกับตนเองอีกหรือเปล่า

นายชัยเกษม กล่าวต่อไปว่า หากอนาคตต่อไปข้างหน้าพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อตนเองขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี หากไม่สามารถปฏิเสธได้ อะไรที่เราสามารถจะทำให้กับพรรคเพื่อไทยได้ และทำเพื่อบ้านเมืองได้ก็ยินดี ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ตนเองอยู่มาจนอายุขนาดนี้แล้ว ประสบการณ์ก็พอสมควร การจะได้ทำงานก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ยินดี และหากสังเกตดูการเมืองของเราที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ไม่ง่ายและก็เหนื่อยมากที่จะทำความเข้าใจกับหลายฝ่าย หากหลบได้ก็อยากหลบเลี่ยงได้ก็อยากเลี่ยง แต่ความรู้สึกส่วนตัวก็มีความเป็นห่วงหากไม่มีใครทำอะไรให้บ้านเมืองแล้วจะทำอย่างไรต่อไป

เมื่อถามถึงการสื่อสารหรือคุยกับคนในพรรคเพื่อไทย นายชัยเกษม กล่าวว่า ก็ไม่ค่อยได้สื่อสารกับคนในพรรคมากนัก พรรคเพื่อไทยก็ประชุมไม่บ่อย และตนก็มีความรู้เพียงด้านเดียวคือเรื่องกฎหมาย ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทุกอย่าง ส่วนคำถามว่ารู้สึกชีวิตวุ่นวายขึ้นหรือไม่เพราะมีชื่อติดโผอีกครั้ง นายชัยเกษม ตอบว่า ไม่ได้รู้สึกวุ่นวายอะไร แต่เวลาที่เป็นส่วนตัวลดน้อยลงไปบ้าง ก็ขึ้นอยู่ว่าเรื่องที่เขามาคุยเป็นเรื่องอะไร ตอบไปแล้วสามารถแก้ไขปัญหาได้ อันนั้นจะทำให้ดีใจขึ้น เพราะจะได้มีส่วนช่วยทำให้ปัญหานั้นเบาบางลงไป ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์กับทุกคน อีกทั้งก็ไม่เชื่อว่าเหลือตนคนเดียว เขาอาจจะมีคนอื่นไว้แล้วก็ได้ ซึ่งตนอยู่การเมืองหลังชาวบ้านเขา ไม่เคยอยู่ในการเมืองจริงจังเท่าไหร่

...

ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงอนาคตข้างหน้า หากท้ายที่สุดศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง พร้อมจะทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อหรือไม่ นายชัยเกษม กล่าวตอบว่า ชื่อของตนตอนนี้ก็เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว ในเรื่องราวต่างๆ คิดว่าตนเองก็มีความรู้มีประสบการณ์ และในชีวิตก็ผ่านเรื่องราวมาสารพัด คิดว่าตนก็มีความพร้อมพอสมควร แต่จะทำสุดความสามารถ แต่หากมีใครบอกว่าตนเองไม่พร้อม ไม่เหมาะ วันนั้นก็พร้อมที่จะออกมาและไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว เลี้ยงหลานไป ไม่ถือเป็นเรื่องซีเรียสอะไร เพียงแต่อะไรที่ทำให้กับส่วนรวมได้ ถ้าเรายังมีกำลัง มีความสามารถ ก็ยินดี

ในคำถามว่าได้มีโอกาสคุยกับนางสาวแพทองธารหรือไม่ ตั้งแต่มีกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา จนถึงเมื่อวานนี้ (1 กรกฎาคม) ที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี นายชัยเกษม เผยว่า ไม่ได้คุยเลย เพราะก็ไม่ค่อยได้ไปยุ่งกับพรรคเพื่อไทยเท่าไหร่ แต่ถ้ามีปัญหาหรือติดเรื่องไหนแล้วหารือก็จะให้คำปรึกษาตามที่มีความรู้ ความสามารถ แต่จะไม่เข้าไปยุ่งกับกิจการหรือกิจกรรมต่างๆ ของพรรค ใช้ชีวิตเรียบง่ายสบายๆ ออกกำลังกาย ได้ออกรอบ (ตีกอล์ฟ) บ้าง

ขณะเดียวกัน นายชัยเกษม ยังกล่าวอีกว่า ไม่มีโอกาสได้คุยหรือเจอนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะท่านก็มีคนที่อยู่ใกล้ชิดอยู่แล้ว หรือจะเรียกว่าตนเองห่างพรรคเพื่อไทยเลยก็ว่าได้ ฝ่ายกฎหมายของพรรคเขาก็มีอยู่แล้ว แต่จะมีบางครั้งเท่านั้นที่มาถามเพื่อต้องการจะให้เกิดความแน่ใจในเรื่องนั้น แต่ไม่ใช่ตัวเองหรือคนสำคัญอะไรของพรรค ทางด้านคำถามหากเป็นนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ จะสั่งได้หรือไม่ นายชัยเกษม บอกว่า มันยังไม่ถึงวันนั้น อย่าให้ตอบเรื่องนี้เลย

แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายของพรรคเพื่อไทย ยังกล่าวอีกว่า จริงๆ แล้วตนเองอยู่ในพรรคเพื่อไทยก็ต้องถือว่าเป็นคนของพรรค ส่วนนายทักษิณ ก็เป็นคนที่เคารพนับถือ ถ้าเรื่องไหนที่ตนสามารถให้คำแนะนำได้ก็ยินดี ถือว่าเป็นหน้าที่ด้วยซ้ำในฐานะที่เป็นสมาชิกพรรค และเป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีส่วนได้เสียในอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับบ้านเมือง ก็ยินดี ไม่มีอะไรขัดข้อง

เมื่อถามถึงความรู้สึกที่มีกับพรรคภูมิใจ นายชัยเกษม กล่าวว่า คนเราถ้ามีอะไรแล้วต้องคุยกันด้วยเหตุและผลที่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น หรือทำไมต้องทำอย่างนั้น ตราบใดที่ยังคุยกันรู้เรื่องด้วยความเข้าใจ และด้วยเหตุด้วยผลก็ไม่เห็นจะมีอะไร ไม่ว่าจะพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคใดก็ตาม เราคนไทยด้วยกันก็อยากจะทำให้ประเทศชาติเดินไปได้ ส่วนตัวก็ไม่มีอะไรขัดข้องหมองใจกับพรรคภูมิใจไทย

ทั้งนี้ หากพรรคภูมิใจไทยทอดไมตรีมาให้ร่วมรัฐบาล จะรับได้หรือไม่นั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเรื่องอะไร ต้องดูเป็นเรื่องๆ ไปหากเขาเห็นว่าอยู่ด้วยกันแล้วเสียหาย อาจจะไม่ยอม ก็ต้องปล่อยให้เขาไปตามทางของเขา สิ่งสำคัญที่สุดต้องคุยกันด้วยเหตุและผล พร้อมทั้งเห็นว่าไม่ควรจะไปทำกันลับหลัง

ในช่วงท้าย นายชัยเกษม ยังส่งกำลังใจไปถึงนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ว่า เห็นใจที่นายกรัฐมนตรีกำลังมีปัญหา แต่ปัญหาทุกอย่างต้องแก้ด้วยการพูดคุยและการทำความเข้าใจกันและกัน ถ้านายกรัฐมนตรีคิดว่าจะไม่ไปคุย ก็ฝากให้ตนเองไปคุยแต่ละเรื่องก็ได้ ก็ยินดี ทำให้คนไทยด้วยกันต้องพูดด้วยเหตุและผล หากมัวแต่ไปตั้งแง่ ไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร สุดท้ายก็มาทะเลาะเบาะแว้งกัน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับคนระดับนี้แล้ว.